คาถานกแซงแซว (ฆเฏสิ)

กำเนิดคาถานกแซงแซว

คาถานกแซงแซว
คาถา
: ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึงการณํ ฆเฏสิ อหํ ปิตํ ชานามิ ชานามิฯ
คำอ่าน: ฆะเฏสิ ฆะเฏสิ กึงการะณัง ฆะเฏสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ
คำแปล: เจ้าพยายามไปเถิด เจ้าพยายามไปเถิด เจ้าพยายามทำเพื่ออะไร, เจ้าพยายามทำอะไรอยู่ เรารู้นะ เรารู้นะ,
อุปเท่ห์
: สิทธิการิยะ บรูพาบุราณครูบาอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้ว่าคาถานี้มีมาแต่สำนักตักศิลาโดยอาจารย์ทิศาปราโมทย์อนุเคราะห์ให้แก่จุฬกะมาณพ และคล้ายคลึงกับตำนานคาถานกแซงแซวของชาวล้านาที่พระอินทร์จำแลงเป็นนกแซงแซวเพื่อมาช่วยคุ้มครองพวกเด็กจากคนใจไม้ไส้ระกำ คาถาใช้ทางป้องกันภัย โจรภัย ป้องกันขโมยขึ้นบ้าน ป้องกันอันตรายจากของมีคม แคล้วคลาดจาดศาสตราอาวุธของมีคมทั้งปวง แลจักใช้ได้ทุกครั้งที่ระลึกได้ พร่ำบ่นสาธยายร่ายมนต์บทนี้อยู่เป็นนิจเถิด



ตำนานคาถานกแซงแซว จากชาวล้านนา
            กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลำธารน้ำใสไหลเย็น เด็กๆมักจะพากันมาลงเล่นน้ำ ส่งเสียงเอะอะโว้ยว้ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ในวันนั้นเองหลังจากที่เด็กๆเลี้ยงควายเสร็จจึงพากันมาเล่นน้ำตามปกติ ณ ลำธารแห่งนั้นก็มีชายหนุ่มปลูกเรือนไว้ริมน้ำ และขณะนั้นชายหนุ่มหาปลาอยู่ปลายน้ำ ทอดแหยังไงก็ไม่ได้ปลา ด้วยว่าเสียงดังสนั่นของเด็กๆที่มาเล่นน้ำอยู่เป็นประจำ ชายหนุ่มหาปลาก็ทราบว่าเด็กมาเล่นน้ำอีกแล้ว ซึ่งปกติก็สร้างความรำคาญมากแล้ว เด็กกระโดลงน้ำทำให้ปลาแตกตื่นตกใจหนีไปเสียหมด จึงเกิดความคับแค้นใจกับเด็กๆพวกนั้น
            ในวันต่อมา ชายหนุ่มหาวิธีแก้แค้นพวกเด็กๆที่มาเล่นน้ำ ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเด็กจะพากันมาเล่นน้ำอยู่บริเวณนั้นประจำ จึงได้คิดวางแผนทำร้ายพวกเด็ก ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงตัดไม้ไผ่แล้วเหลาไม้ไผ่ให้แหลมคม นำไม้แหลมไปหักไว้ใต้น้ำ โดยหันปลายแหลมขึ้น ชายหนุ่มวางกับดักนี้หวังจะทำร้ายพวกเด็กๆ เมื่อเด็กลงเล่นน้ำ กระโดดลงไปโดนไม้ไผ่แหลมแทงตาย
             ครั้งเมื่อพวกเด็กกลับจากการเลี้ยงควาย เห็นลำธารน้ำใสก็อยากกระโดดลงเล่นน้ำ ตอนนั้นเองบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บัลลังก์แท่นรัตนกำพลศิลาอาส์นของพระอินทร์ก็รุมร้อนดุจเอาไฟมาอังใต้แท่น บัลลังก์ที่แสนนุ่มนวลกลับกลายเป็นแข็งทื่อ พระอินทร์จึงเกิดความสงสัยเล็งมองมายังโลกมนุษย์ เห็นชายหนุ่มวางแผนฆ่าพวกเด็กๆโดยเอาไม้ไผ่แหลมปักไว้ใต้น้ำ แล้วพวกเด็กๆก็กำลังจะกระโดลงลำธารที่ชายหนุ่มวางกับดักไว้ท่านั้น พระอินทร์จึงลงมาช่วยเด็กๆ โดยจำแลงแปลงกายลงมาเป็นนกแซงแซวตัวใหญ่มหึมาสีดำมีเงางาม ตาแดงแก่ดั่งโกเมน หางเรียวยาวเป็นแฉกแหวกลาดพาดลงมาเกาะอยู่บนกิ่งยอดไม้

            เด็กๆที่ยืนอยู่ที่ตลิ่งน้ำกำลังจะกระโดเห็นนกแซงแซวตัวใหญ่มาเกาะ จึงแลมองนกแซงแซวตัวนี้ส่งเสียงร้องอย่างฉงน เพราะเสียงนกแซงแซวตัวนี้ร้องว่า “
ติงติงสรณายะกันติง” ด้วยความแปลกประหลาดเด็กจึงท่องตามเสียงนกนั้น ด้วยความคึกคะนอง “ติงติงสรณายะกันติง” หลักจากตกตะลึงตันจากเสียงร้องของนกแซงแซวแล้ว เด็กๆก็กระโดดลงเล่นน้ำ ตูมตามโครมครามกันอย่างสนุกสนาน เย็นสบายส่งเสียงแจ้วจ้าวอย่างรื่นเริงเหมือนทุกๆครั้ง เด็กที่กระโดลงมถูกโดนกระทบแหลมคมของไม้ไผ่ก็กลับกลายเป็นทู่ เลือดสักหยดก็ไม่มี แผลถลอกสักนิดก็ไม่เห็น พวกเขานั้นก็รู้สึกถึงว่ามีตอไม่อยู่ใต้น้ำ ดำลงไปดูก็เห็นตอไม้ไผ่ปลักอยู่เต็ม แต่พวกเขาก็ไม่เป็นอะไรเลย เมื่อพวกเด็กเล่นน้ำกันเสร็จแล้ว พวกเด็กๆเลิกรากันกลับบ้าน
            ชายหนุ่มที่วางกับดัก เห็นพวกเด็กไม้เป็นอะไร ไร้ซึ่งรอยขี่ขวนใดๆ  จึงไปดูที่ลำธารตรงจุดที่ตนวางกับดักไว้ ซึ่งมีรอยเท้าและล่องรอยการลงเล่นน้ำของพวกเด็กๆเหลือไว้ แต่ลิ่มไม้ไผ่แหลมที่ปลักไว้ใต้น้ำกลับลอยฟูฟ้อนที่จมอยู่ก็ล้มระเนระนาดไปหมดเหนือลำธารและปลายแหลมของลิ่มไม้ไผ่ที่แหลมคมกลับทู่ไปเสียหมด
            พวกเด็กที่รอดตายมาได้นั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามีนกแซงแซวมาร้องเสียงแปลกประหลาดราวกับท่องมนต์ร่ายมนต์คาถาให้ฟังว่า “ติงติงสรณายะกันติง” จึงจดจำคาถานี้ไว้แล้วรู้จักกันแพร่กลายกันในนามคาถานกแซงแซวนั่นเอง
            ต่อมาผู้รู้คาถาเห็นว่าคาถานี้ดีนัก มีคุณอันวิเศษ พระอินทร์จำแลงลงมาเป็นนกแซงแซวเพื่อร่ายคาถาให้เด็กฟัง เพื่อคุ้มครองป้องกันให้พวกเขาปลอดภัยจากภยันอันตราย ศาสตราอาวุธของมีคม และจากคนใจมารใจร้ายไส้ระกำ  จึงผูกสำนวนคาถานี้ว่า “
ติงติงสรณายะกันติง” และสำนวนเต็มคาถานี้ว่า ฆเฏสิ ฆเฏสิ กิ๋งการะนัง ฆเฏสิ อะหังปิตั๋ง จานามิ จานามิ แล้วจึงเล่าขานสืบต่อกันมาดังประการฉะนี้แลฯ

คาถาฆเฏสิจากจุฬปถกชาดก
ณ กรุงพาราณสี มีมาณพชื่อว่าจุฬกะ จุฬกะมาณพได้เดินทางมายังกรุงตักศิลา สำนักตักศิลาเพื่อศึกษาวิทยาจากอาจารย์ทิศาปราโมทย์ อาจารย์ของมาณพก็เห็นว่าจุฬกะมาณพคนนี้มีปัญญาทึบมาก แต่ขยันขันแข็งปรนนิบัติอาจารย์เป็นอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง แต่วิชาการอื่นๆกับไม่เอาไหนไม่ได้เรื่องแม้แต่น้อย
            เมื่อเวลาผ่านไปครบกำหนดที่มาณพจะกลับบ้าน แต่จุฬะมาณพไม่ได้ศิลปวิทยาอะไรจาจากอาจารย์ทิศาปราโมทย์เลย ได้แต่ทำงานเฝ้าดูแล ปรนนิบัติรับใช้อาจารย์เท่านั้น มาณพผู้นี้ปัญญาทึบมาก จึงเรียนรู้อะไรไม่ได้สักอย่าง อาจารย์ทราบว่าจุฬกะมาณพจะกลับบ้านแล้ว ด้วยซึ้งในน้ำใจศิษย์ที่มีให้อาจารย์ อยู่รับใช้ปรนนิบัติอยู่สม่ำเสมอ สงสารในสิติปัญญาของมาณพคนนี้ที่เขลานัก แล้วแลเห็นไปในภายาคหน้าแล้ว จึงให้มนต์แก่จุฬกะมาณพบทหนึ่ง แล้วกำชับเป็นหนักหนาว่าจำให้ได้ แล้วท่องทุกขณะที่รู้สึกตัว จุฬกะมาณพจึงรับมนต์บทนี้มาจากอาจารย์ทิศาปราโมทย์ มนต์บทนี้ความว่า
“ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึงการะณัง ฆเฏสิ อหังปิตัง ชานามิ ชานามิ”
            ครั้นจุฬกะมาณพท่องจำได้แม่นยำและมั่นสาธยายมนต์ได้คล่องแล้ว อาจารย์จึงอนุญาตให้จุฬกะมาณพกราบลาเดินทางกลับบ้านได้ ซึ่งมาณพก็ได้มนต์ติดตัวกลับบ้านมาอยู่หนึ่งบท แน่นอนว่าเขาทำตามที่อาจารย์สั่งสอนคือท่องทุกขณะที่รู้สึกตัว
            คืนวันหนึ่งพระราชามีพระประสงค์จะเดินทางประพาสบ้านเมืองของพระองค์ จึงปลอมพระวรกายใส่ฉลองพระองค์เยื้องสามัญชนคนธรรมดา ปลอมพระองค์เป็นชาวบ้านธรรมดา แล้วเสด็จออกมาจากพระราชวัง ตรวจตราความเป็นไปของชาวบ้าน พระองค์ทรงดำเนินมาได้ระยะหนึ่ง เห็นคนน่าสงสัยทำตัวลับๆล่อๆอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ด้วยพระปรีชาพระองค์ทราบทรงว่าโจรกำลังจะเข้าบ้านหลังนั้น ขณะนั้นเองจุฬกะมาณพที่นอนหลับอยู่ที่บ้านหลังนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้น แล้วมาณพก็นำถึงคำอาจารย์ได้ว่าให้สวดท่องมนต์ในยามที่รู้สึกตัว มาณพจึงสาธยายมนต์ออกมาออกดัง  “ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึงการะณัง ฆเฏสิ อหังปิตัง ชานามิ ชานามิ” และแล้วโจรย่องเบาได้ยินเสียงคนในบ้าน จุฬกะมาณพกำลังท่องมนต์ โจรตื่นตกใจกลัววิ่งหนีทุรนทุรายอย่างไม่คิดชีวิต พระราชาที่ปลอมตัวมาเป็นชาวบ้าน มองเห็นสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและได้ยินมนต์นี้ บังเกิดความอัศจรรย์ใจขึ้นว่า มนต์บทนี้ช่างมีคุณวิเศษนั้น
            พระราชาเสด็จกลับพระราชวังและจำมนต์บทนี้มาก็ทรงท่องอยู่เป็นอาจิณ ทรงสนหทัยกับมนต์บทนี้มาก รับสั่งให้ราชบุรุษไปเชิญตัวมาณพนี้เข้าวัง เพื่อจะคลายข้อสงสัยในพระหฤทัย จุฬกะมาณพก็ได้เข้าเฝ้าพระราชาเพื่อแก้ความคืบแคลงหทัยที่พระราชาทรงสงสัยในมนต์บทนี้
            เมื่อมาณพมาพบกับพระราชา พระราชาจึงตัดถามมาณพว่า “พ่อมาณพ พ่อเรียนมนต์มาจากที่ใด ใครเป็นผู้สอนมนต์บทนี้ให้” มาณพก็กราบบังคลทุลตามความเป็นจริงว่า “ข้าเรียนมาแต่สำนักตักศิลา อาจารย์ทิศาปราโมทย์เป็นผู้สอนให้” ครั้งพระราชาได้ยินเช่นนั้นจึงใคร่จะเรียนรู้มนต์บทนี้จากจุฬกะมาณพเป็นอันมาก  ทรงดำริกับมานณพว่า “พ่อ มาณพ ท่านพอจะสอนมนต์บทนี้ให้ได้หรือไม่” จุฬกะมาณพตกลงยอมสอนศิลปวิทยามนต์บทนี้ให้ พระราชาทางดีพระหทัยยิ่งนัก
            จุฬกะมาณพเชิญพระราชาลงมานั่งในที่เสมอกันเพื่อเตรียมพร้อมจะเรียนมนต์ แล้วสาธยายมนต์ว่า “ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึงการะณัง ฆเฏสิ อหังปิตัง ชานามิ ชานามิ” ถวายแก่พระราชา แล้วกำชับมาดังคำอาจารย์ทิศาปราโมทย์ให้ท่องทุกขณะที่รู้สึกตัว เมื่อพระราชาท่องจำมนต์ได้แม่นยำแล้ว จึงประทานรางวัลทรัพย์สินให้แก่จุฬกะมาณพเป็นอันมาก พร้อมสาธยายมนต์นี้อยู่มิขาด
            ต่อมาได้นาน เสนาบอดีคิดก่อการ ตั้งตนเป็นใหญ่ คิดคดทรยศ จึงตังอานิจสินจ้างแก่นายช่างกัลบก พนักงานภูษามาลาคนหนึ่งที่จะถวายปลงพระมัสสุให้พระราชา โดยให้ช่างภูษามาลาตัดที่พระศอของพระราชาในขณะที่ปลงพระมัสสุ แล้วสัญญาเป็นอานิจสินจ้างว่าถ้าปลงพระชนม์พระราชาได้ แล้วเสนาบดีได้ขึ้นเป็นพระราชาแล้ว จะตั้งให้ช่างกัลบกเป็นเสนาบดี ได้ยินเช่นนั้นช่างกัลบกจึงตกลงรับทำ
            โอกาสก็มาถึงแก่ช่างกัลบกนายภูษามาลา เมื่อพระราชาทรงดำริให้ปลงพระมัสสุ นายช่างกัลบกเห็นว่ามีดโกนทื่อจึงได้ไปรับคมมีดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อมีดจะได้คมๆตัดพระศอของพระราชาใด้สวรรคตในครั้งฉับเดียวคาที ในเวลาเดียวกันนั้นพระราชาทรงระลึกถึงมนต์ที่เรียนมาจากจุฬกะมาณพได้จึงสาธยายว่า “ฆเฏสิ ฆเฏสิ กึงการะณัง ฆเฏสิ อหังปิตัง ชานามิ ชานามิ” ช่างตัดผมได้ยินเข้าถึงกับตกใจตัวสั่นเหงื่อโทรมกาย ลุกลี้ลุกลนกลัวว่าพระราชชาจะทราบถึงแผนร้ายที่ตนจะทำ พลางทิ้งมีดโกนแล้วหมอบกราบของประทานพระราชอาญาและยอมรับสารภาพว่าสมคบกับเสนาบดีและเสนาบดีวงการให้ปรงพระชนม์ชีพของพระราชา  เมื่อปรงพระชนม์ได้แล้วจะตั้งให้เป็นเสนาบดี
            พระราชาทราบความดังนั้นแล้วจึงเนรเทศเสนาบดีคนนั้น พร้อมระลึกว่ามาณพได้ช่วยชีวิตพระองค์ไว้ในคราวนี้ พระราชาจึงรับสั่งประทานตำแหน่งเสนาบดีนั้นให้แก่จุฬกะมาณพดำรงตำแหน่งต่อไป


จบกำเนิดคาถานกแซงแซวแต่เพียงเท่านี้

กาพย์ ชมดอกไม้

กาพย์ชมดอกไม้
กาพย์ยานี ๑๑
 
           ๏ เมกไม้พันธ์พฤกษา              สุคันธาผกามาศ
มธุปุบผาชาติ                                       พฤกษราชปทุมบาน
เกศแก้วกรรณิการ์                                หอมตรึงตราสวยตระการ
เรืองร้อยพรรณพิศาล                           มโหราฬทานตะวัน
มะลิขาวสดใส                                     ซ้อนฉัตรใกล้มะลิวัลย์
พุดซ้อนหฤหรร                                   ดาวเรืองขั้นไม่รู้โรย
ชบาดอกชบาด่าง                                 เล็บมือนางมิรู้ม้วย
กุหลาบชูดอกสวย                               หล่นปลายโปรยกลีบผกา
ดอกปีบกาสะลอง                                นวลละอองหอมฟุ้งมา
สารพัดมาลา                                        บุษบาผกาพันธ์
อันชัญประจักษ์                                   ก้ามปูปักษาสวรรค์
นางแย้มเย้านวลจันทน์                        สัตบรรณกลิ่นพิกล
ผกากรองผกาแก้ว                               ดอกนมแมวกล่อมกมล
สโรชโกมล                                          ปัทมลจงกลนี
ดอกสัตตบงกช                                    ลอยย้อยหยดชลธี
ดอกบัวห้าดอกนี้                                 ลอยวารีท้าตะวัน
บานเช้าแล้วบานเย็น                           ดอกซ้อนเร้นพฤกษกัลป์
ดอกราตรีฉายแสงจันทร์                      ชัยพันธ์ราชพฤกษ์
สายหยุดมิหยุดหอม                             สะพรั่งล้อมหอมจนดึก
ภุมรินทร์เจ้าช่างคึก                              เช้าบ่ตรึกผึ่งมาตอม
ราชวดีหอมแรง                                   มวลแมลงแมงมาล้อม
โมกจำปีจำปาหอม                              แมลงยอมยั่วยวลใจ
คัดเค้าเข้าลั่นทม                                  ริตรอมตรมขมฤทัย
ลีลาวดีบานอยู่ใกล้                              รัญจวนใจใครทุกคน
โสนบานรุ่งอรุณ                                  กรุ่นละมุลชวนยินยล
อุตพิตคล้ายอาจม                                กลิ่นระคนมิยลยิน
ยี่โถแลยี่เข่ง                                          พิษบรรเลงให้ราคิน
ดองดึงมลายลิน                                   บรรลัยสิ้นเอื้องหมายนา
ชวนชมเจ้าสวยสด                               ความงามงดซ่อนความมา
บานบุรีรำเพยพา                                  แสลงว่าอันตราย
ยี่หุบทุบมณฑา                                    กะดังงาพันณราย
การเวกดูคล้าย                                    ทองหลางลายแสดส้มงาม
พวงชมพูดูพวงแสด                             ท้าลมแดดจนบ่ายสาม
พู่ระหงห์กลางดงหนาม                       ยังงดงามตามสมควร
ดอกหิรัญญิการ์                                   เอื้องไตรตราสีขาวนวล
สารภีดอกลำดวน                                ลมพัดกวนกลิ่นจรุง
จันทน์กระพ้อง้อจันทน์ผา                   วาสนากลิ่นคละคลุ่ง
ลมโฉบโลมเล้าปรุง                             เกสรฟุ้งจากพงไพร
ร่วงโรยละอองไอ                                อัศจรรย์ใจละมุมละไม
สรวงสวรรค์กลางไพร                         สราญใจสุดพรรณนาฯ
 ธรรมจิต สวัสดี

โองการอัญเชิญบูรพาจารย์

โองการอัญเชิญบูรพาจารย์
ร่าย
โอม บังคมปฐมบูรพาจารย์ ผู้ทรงประสาทการศิลปะวิทยา
เป็นอาภรณ์ประดับภพ             สบพุทธิปัญญาอเนกชน 
ดลระลึกตรึกชอบ                    ก่อปอร์ปคุณสุนทรีย์ 
ทวีหิริโอตตัปปะ                     อุตสาหะการเรียน
พากเพียรกระบวนช่าง             รอบรู้ทุกอย่างเชี่ยวชาญ  
วิทยาการรุ่งไพโรจน์               สำเร็จประโยชน์เพราะพระบารมีฯ
ข้าขออัญชลีบังคมบาท   อดิศรราชพรหมธาดา  
ทั้งอัครชายาสุรัสวดี ธำรงคัมภีร์อักษรศาสตร์ดุริยางค์ฯ
ข้านบองค์ทรงสุบรรณเหิรนภางค์คือนารายณ์   หัตถุ์ขวาซ้ายทั้งสี่
ทรงตรีคทาจักรสังข์   บังลังก์อนันตนาคราช   พร้อมลักษมีอนงค์นาถภควดีฯ
ข้านบองค์มเหศวรศุลีศรีคีรินทร์ไกรลาส   ประทานศาสตร์เจ็ดประการ
พื้นฐานก่อนสัมมาอาชีวะ   พร้อมอัคระชายาอุมาเทวีฯ
ข้านบองค์คณบดีคชมุขนาถ   ทรงมุสิกอาสน์อลังการ  
ประหารอุปสรรคสรรพพินาศ   ประสาธน์ศิลปะนานาฯ
ข้านบมหาเทวาจารย์หัตถกิจ   คือองค์พระวิษณุกรม  
หัตถ์สดำทรงผึ่ง   เป็นหนึ่งงานสถาปนา   ล้วนโอฬาร์เลิศตระการฯ
ข้านมัสการคุรุเทวะพระพฤหัสบดี   ทรงประสิทธิ์ศรีศิลปะวิทยา
มีอรรถพจนาสั่งสอน   พ้นมืดมนกลับชัลวาลย์ฯ

ขอปวงคุรุเทวาบูรพาจารย์   โปรดประทานสวัสดิมงคล
พูลผลไปทั่วอาณาจักร์   บริรักษ์ประชาราษฎร์นิราสทุกข์
องค์พระประมุขนิรัติศัยยืนยิ่ง   เป็นมิ่งเป็นขวัญ   ตราบนิรันดร์   โสตถิเทอญฯ

โองการสรรเสริญครู

โองการสรรเสริญครู

อุกาสะ วิปฏิปฏิพาหายะ อุกาสะ อาราธนานัง ครูอาจาริยัง อาคัจฉันตุ ปริมันภะสัง
ปูชนียัง สัพพะสิทธิ กะเรนะตุมัง สิทธิ์เตชัง สิทธิพลัง สิทธิกิจจัง อะหังวันทามิ ตังสะทา
            โอม นะโม นมัสการ ข้าฯจะไหว้คุณพระอาจารย์สิ้นทั้งมวล ตั้งแต่คุณท้าวมหาพรหมและพระอิศวรศิวะศังกรและคุณพระสี่กรนารายณ์เป็นประธาน อีกคุณดิน คุณลม คุณน้ำ คุณไฟ คุณอุณาโลมปฏิโลม คุณอัสวาส คุณปัสวาส  คุณนิสวาส คุณอากาศเป็นปริโยสานชั้นที่สุด อีกทั้งคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า คุณเทพเจ้า ตั้งแต่พระอาทิตย์เทวา พระจันทร์เทวา พระอังคารเทวา พระพุธเทวา พระพฤหัสบดีเทวา พระศุกร์เทวา พระเสาร์เทวา พระราหูเทวา พระเกตุบดีเทวา ขอบารมีเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯ ทั้งพระแม่ธรณี พระแม่คงคา นางเมขลาอันสถิตเที่ยวอยู่ในสาคร ทั้งหมู่เพทพยาธรเธอเสด็จจรในอากาศ อีกคุณพระฤาษีผู้ประสิทธิ์ประสาท ครูผู้รู้สมเวทและสมยา สรรพยา สรรพคาถา สรรพมนต์ตรา มหายันต์ และอาคมเธอเสด็จทุกสถาน ข้าฯจะขอนมัสการกราบไหว้ ขอให้ข้าฯ เชี่ยวชาญทั้งคุณว่านและคุณยา ทั้งคุณมนต์ตราเวทย์คาถาและมหายันต์ ขอให้เป็นศรีสิทธิเตโชชัย ทั้งอักขระที่มีฤทธิ์ ทั้งนิคหิตที่เที่ยวไกล อักขระใด ๆ เชิญมาสถาพร ทุกสรรพเวทย์สโมสร พระอิศวรเธอประทานอวยพระพรชัยประสาทประสิทธิ์ให้แก่ข้าฯมา ทั้งคุณพระเวทย์และว่านยา คุณมหามนต์ตราคาถายันต์
สิทธิสัพพะสุขขัง ภะวันตุเมฯ เอหิคาถา ปิยังกาโย ทิศาปาโมกขัง อาจาริยัง
เอหิพุทธานุภาเวนะ เอหิธัมมานุภาเวนะ เอหิสังฆานุภาเวนะ
            กูจะสูบพระคาถาทั้งปวงขึ้นเหนืออก กูจะยกพระคาถาทั้งปวงขึ้นไว้เหนือเกศ
พระครูกูเธอจึงให้กูเป็นเอกแก่คนทั้งหลาย เอหิคลาย คลาย ปิยังมะ มะ
พุทธัง สะระหิโสมาเร สะระเอหิมาเร มาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิฯ
ธัมมัง สะระหิโสมาเร สะระเอหิมาเร มาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิฯ
สังฆัง สะระหิโสมาเร สะระเอหิมาเร มาระ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิฯ
กะขะคะฆะงะ จะฉะชะฌะญะ ฏะฐะฑะฒะณะ ตะถะทะธะนะ
ปะผะพะภะมะ ยะระละวะ สะหะฬะอัง
ทรงอะ ทรงอา ทรงอิ ทรงอี ทรงอุ ทรงอู ทรงเอ ทรงโอ ทรงเอา ทรงอัง
ทรงอะ ทรงนะโมพุทธายะ ทรงอักขระ ๔๑ ตัว โอกาเส ติฏฐาหิ ติฎฐาหิฯ
อิติอักขรา นามะโหนะติ เอหิพันธัง พันธัง นะโมพุทธายะ นะผูก โมมัด
พุทรัด ธารึง ยะกรึง อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อิมัง กายะพันธะนัง อะธิฏฐามิฯ


โองการชุมนุมครู

โองการชุมนุมครู

พุทธังวันทิตวา ธัมมังวันทิตวา สังฆังวันทิตวา
ข้าพเจ้าขอไหว้ซึ่งพระพุทธคุณณัง พระธรรมคุณณัง พระสังฆคุณณัง
            อนึ่งข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า อีกทั้งคุณบิดามารดา คุณอุปัชฌาย์ คุณครูบาอาจารย์ คุณพระฤาษีนารอด คุณพระฤาษีนาไลย คุณพระฤาษีหน้าวัว คุณพระฤาษีตาไฟ คุณพระฤาษีประไลยโกฏ คุณพระฤาษีกัสสป คุณพระฤาษีไกรภพ คุณพระฤาษีทัศมงคล คุณพระภรตมุนีฤาษีเทวา ทั้งเพชรฉลูกัน และนักสิทธิ์วิทยา อีกทั้งพระนางธรณี พระคงคา พระเพลิง พระพาย พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า เธอมาประสิทธิพระพรชัยให้แก่ข้าฯ ข้าฯจะขออัญเชิญเทพยดาทั้งหลายทั่วพื้นปฐพีดล พระฤาษีทั้ง ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพพสิทธิ์วิทยา พระครูพา พระครูเฒ่า ครูพักและครูอักษรสถาพรกรรมสิทธิ์แก่ข้าฯในการบัดนี้เทอญฯ

            อิติปิโสภะคะวา ข้าพเจ้าขออันเชิญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอยู่เหนือเกล้าเกตุเกษีขอเชิญพระพรมมาธาดาธิบดีอยู่เบื้องบ่าซ้าย เชิญพระนารายณ์ทรงฤทธีมาอยู่เบื้องบ่าขวาขอเชิญนางพระคงคามาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคมาเป็นสร้อยสังวาน ขอเชิญพระกาฬมาเป็นดวงใจข้าพเจ้าจะทำสิ่งใด ภูติใดพรายใดอย่าได้มาเบียดเบียนบีฑาอย่าได้ประมาทพลาดพลั้งขออันเชิญครูเเต่หนหลังพระฤาษีทั้ง ๑๐๘ องค์เดชะคุณครูบาธิยายอันเลิสล้ำคุณครูผู้อยู่ในถ้ำจงมาช่วยอวยพระพรชัยประสิทธิ์ให้แก่ข้าฯ พุทธังประสิทธิ์มหาประสิทธิ์ ธัมมังประสิทธิมหาประสิทธิ์สังฆังประสิธิมหาประสิทธิ์ฯ

คาถาบูชาครู

คาถาบูชาครู

            วันทิตวา สุคะตังนาธัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สาธุกัง นะโมพุทธายะ ทิพพมันตรานัง ปะวักขามิ ยะถาพลัง ปัญจะอักขรา นิชาตา นโมพุทธายะ วันทะติฯ นะมัสสิตวา อิสีสิทธิ โลกะนาถัง อะนุตตะรัง อิสีจะพันธนัง สาตรา อะหังวันทามิตัง อิสีสิทธิ เวสสะฯ วันทิตวา อาจาริยัง ครูปาทัง อาคัจฉาหิ สัพพะกัมมา ประสิทธิเม สัพพะอันตรายัง วินัสสันติ สัพพะสิทธิ ภะวันตุเมฯ
                                    มะอะอุ อธิกะมูลัง ตรีเทวานัง มหาศาสตรา
                                    อุอุ อะอะ มะมะ มันตรา อุอะสวา มหามันตังฯ
            โองการพินธุนาธัง อุปปันนังพรหมา สหบดี นามังอาธิกัปเป สุอาคะโต ปัญจะปะทุมัง ทิสวา นะโมพุทธายะ วันทะนังฯ
            สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะ ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชัยโยนิจจัง สิทธิลาโภ นิรันตรัง สิทธิกัมมัง ภะวันตุเมฯ


สรภัญญะ คำฉันท์ระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

คำฉันท์ระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา

วสันตดิลกฉันท์
             ข้าขอประนมกรกระพุม       อภิวาทนาการ
กราบคุณอดุลคุรุประทาน                  หิตเทิดทวีสรร
สิ่งสมอุดมคติประพฤติ                       นรยึดประคองธรรม์
ครูชี้วิถีทุษอนันต์                                อนุสาสน์ประภาษสอน
ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน                นะตระการสถาพร
ท่านแจ้งแสดงนิติบวร                        ดนุยลยุบลสาร
โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร                   ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
ไป่เบื่อก็เพื่อดรุณชาญ                        ลุฉลาดประสาทสรรพ์
บาปบุญก็สุนทรแถลง                        ธุระแจงประจักษ์ครัน
เพื่อศิษย์สฤษดิ์คติจรัล                        มนเทิดผดุงธรรม
ปวงข้าประดานิกรศิษ                         (ษ)ยะคิดระลึกคำ
ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ                       อนุสรณ์เผดียงคุณ
โปรดอวยสุพิธพรอเนก                      อดิเรกเพราะแรงบุญ
ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน-                       ทรศิษย์เสมอเทอญฯ

ปญญาวุฑฒิกเรเตเต               ทินโนวาเท นมามิหํ

สรภัญญะ บทไหว้ครู อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

บทไหว้ครู นมัสการอาจาริยคุณ


ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา

อินทรวิเชียร์ฉันท์ ๑๑
            ๏อนึ่งข้าคำนับน้อม     ต่อพระครูผู้การุญ
โอบเอื้อและเจือจุน                  อนุสาสน์ทุกสิ่งสรรพ
ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ              ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน                    ขยายอัตถ์ให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเมตตา                    และกรุณา บ  เอียงเอน
เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์      ให้ฉลาดและแหลมคม
ขจัดเขลาบรรเทาโม-               หะจิตมืดที่งุนงม
กังขา ณ อารมณ์                      ก็สว่างกระจ่างใจ
คุณส่วนนี้ควรนับ                    ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
ควรนึกและตรึกใน                  จิตน้อมนิยมชม


                                                 ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง

สรภัญญะ บทไหว้ครู กาพย์ฉบัง ๑๖

บทไหว้ครู

ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรานุสาสกา

กาพย์ฉบัง ๑๖
 ข้าขอประณตน้อมสักการ    บูรพาคณาจารย์
ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา
ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา              อบรมจริยา
แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์                ระลึกคุณอนันต์
ด้วยใจนิยมบูชา
ขอเดชกตเวทิตา                      อีกวิริยะพา
ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสาเร็จทุกประการ           อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี
ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี            ประโยชน์ทวี

                                                 ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง

สรภัญญะ โพชฌงค์คำฉันท์

สรภัญญะ โพชฌงค์คำฉันท์

โพชฌังโค สะติสังขาโต          ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ                    โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
สะมาธุเปกขะ โพชฌังคา         สัตเต เต สัพพะทัสสินา
มุนินา สัมมะทักขาตา              ภาวิตา  พะหุลีกะตา
สังวัตตันติ อะภิญญายะ          นิพพานายะ จะ โพธิยา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ             โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ
เอกัสมิง สะมะเย นาโถ            โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง
คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา                โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
เต จะ ตัง อะภินันทิตวา           โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ             โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ
เอกะทา ธัมมะราชาปิ               เคลัญเญ นาภิปีฬิโต
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ           ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
สัมโมทิตวา จะ อาพาธา          ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ             โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ
ปะหีนา เต จะ อาพาธา             ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
มัคคาหะตะกิเลสา วะ              ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ             โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา ฯ

โพชฌงค์องค์ส่องแสง          เพื่อแสดงพุทธธรรม
มีเจ็ดจงจดจำ                           รวมน้อมนำควบคุมใจ
สติวางไว้อย่างดี                       เรื่องเดี๋ยวนี้หรือกาลไกล
ดึงไว้ไม่ไถล                            สู่จุดหมายไม่เสียงาน
ธรรมวิจัยไตร่ตรองแล             เลือกเฟ้นแต่ที่ต้องการ
เหมาะควรถ้วนทุกด้าน           จิตประสานรู้ตัวตน
วิริยะปุรานนท์                         ห่อนจับจดสัมฤทธิ์ผล
ครองได้ด้วยอดทน                  พากเพียรจนสำเร็จการ
ปีติย่อมบังเกิด                         อิ่มใจเถิดผู้กล้าหาญ
ฤดีมีสราญ                               ความเบิกบานเข้าครอบครอง
ปัสสัทธิซิสงบ                         ได้พานพบสุขทั้งผอง
อารมณ์รู้ประคอง                    อย่าเกี่ยวข้องเรื่องวุ่นวาย
สมาธิตั้งจิตมั่น                         แน่วแน่นั่นคุณมากมาย
จ่อไว้ไม่เคลื่อนคลาย               ทรงพลังหมายทางตรง
อุเบกขาท่าวางเฉย                   ใช่เฉยเมยมุ่งดำรง
จิตกายให้สูงส่ง                        ไร้พะวงรู้เท่าทัน
พระพุทธองค์ทรงแถลง           อย่างชัดแจ้งเนิ่นนานครัน
ดับทุกข์ดั่งมุ่งมั่น                     เข้าถึงขั้นชั้นนิพพาน
โมคัลลามหากัสปะ                 ได้ประสบเวทนาการ
อาพาธพิษโรคราน                   ทรงประทานธรรมโพชฌงค์
อาพาธก็ห่างหาย                      สุขใจกายทั้งสององค์
ชื่นชมธรรมมั่นคง                   หมายมุ่งตรงถึงความดี
พระพุทธองค์ทรงประชวร      โรคก่อกวนทุกข์ทวี
ทรงเอื้อนเอ่ยวจี                       จุนทะปราณีแสดงธรรม
องค์เจ็ดสิ้นเสร็จสรรพ             โรคระงับความสุขนำ
ศานติครองประจำ                   เกิดจากธรรมล้ำค่าคุณ

พุทธศาสนิกชน                       ทุกแห่งหนค้นหาบุญ
โพชฌงค์ช่วยค้ำจุน                  จะอบอุ่นไร้โรคา
ร่างกายก็ยอดเยี่ยม                   มโนเปี่ยมแสงปัญญา
สดใสสว่างตา                          ทุกเวลาหรรษาเทอญ ฯ