แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาถา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาถา แสดงบทความทั้งหมด

คาถาอีกาวิดน้ำ (คาถาทวงหนี้ ตามหาของหาย)


คาถาอีกาวิดน้ำ
คาถาทวงหนี้ ตามหาของหาย
          ความพอใจในสิ่งที่ตนมี ชีวิตก็จะเป็นสุข เมื่อใดที่ตัณหาเข้าครอบงำ เกิดความอยากได้ อยากมี ในวัตถุสิ่งของหรือทรัพย์สินจนเกินตัว ทำให้ผู้คนกู้หนี้ยืมสิน เมื่อผู้ยืมให้ยืมแล้วผู้คืนกลับไม่คืน ผู้ให้ยืมบ้างเดือดร้อน บ้างไม่เดือดร้อน เช่นนั้นมีชาดกเรื่องกาใช้ปากวิดน้ำทะเล กาเหล่านั้นลุ่มหลงในตัณหาทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ครูบาอาจารย์จึงนำเกล็ดอรรกถาวรรคนี้มาเป็นคาถาเตือนสติ และได้กลายมาเป็นคาถาทวงหนี้
                  อปิ  นุ  หนุกา  สนฺตา                        มุขญฺจ  ปริสุสฺสติ  
                  โอรมาม    ปาเรม                           ปูรเตว  มโหทธีติ
                  อะปิ นุ หะนุกา สันตา                      มุ ขัน จะ ปะริสุดสะติ
                        โอระมามะ นะ ปาเรมะ                   ปูระเตวะ มะโห ทะทีติ
คำแปล “เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสียแล้ว และปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิดอยู่ ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำใหญ่คงเต็มอย่างเดิม"
อุปเทย์  ท้องทะเลสุดกว้างใหญ่คณานับ   อีกากลับอมน้ำวิดข้ามฝั่ง
            บินรอบแล้วรอบเล่าสุดกำลัง          ปากที่งับเมื่อยล้าสุดจะทน
            จึงเอ๋ยเอื่อนวจีมีละล้า                      ด้วยวาจาวิเศษมีเหตุผล
            เราจักวิดน้ำทะเลอยู่เวียนวน           อีกกี้หนน้ำมิแห้งยังคงเต็ม
            เราจงทิ้งความคิดนี้กันเสียเทิด        จะบังเกิดความสวัสดีมีสุขสันต์
            ถ้าลุ่มหลงไร้ประโยชน์ไปวันๆ      แล้วจะพลันพ้นทุกข์ได้เช่นใด
            จงสวดพร่ำทุกค่ำเช้า                        หยิบเม็ดข้าวสารจากถัง
            วางข้าวไว้พานอย่างระวัง               หนึ่งจบครั้งวางเม็ดสำเร็จกล
            พร่ำบ่นไว้ขึ้นใจในคาถา                 เพียรสวดช้านานกาลเลยจัดให้ผล
            ข้าวเป็นกำกอปกองครองคน          นำไปพร่นโปรยไว้บ้านลูกหนี้
            สุ่มควันธูปควันกำยาน                     เผาผลาญเทียนไหม้ให้เห็น
            สวดพร่ำย่ำยามความเป็น                แล้วเข็นโยนหินลงบึง
            รำพึงคาถาร่ำไป                                สวดไว้อาจิณเป็นผล
            ไม่คืนคนยืมร้อนรน                         ใจจนร้อนรุ่มร่ำไป
            ไม่คืนทำกิจไม่ขึ้น                            เหมือนฟื้นเปียกชื้นไม่ไหม้
            อับจนหนทางสิ้นไป                        นานไปต้องหามาคืน
            เพียงคืนจักพ้นคาถา                         เงินตราไหลมาอย่างฝัน
            ร่ำรวยงอกเงยทุกวัน                         หมดหนี้โดยพลันทันใดฯ

            นำเทียนธูปข้าวตอกดอกไม้             จุดไหว้บูชาฝั่งน้ำ
            เทวดาอารักษ์ทราบความ                 ช่วยตามถามของกลับมา
            ของหายตามทางนอกบ้าน               จุดธูปกรานกราบสามแพร่ง
            สวดมนต์คาถาสำแดง                      แถลงตามของกลับคืน
            ได้คืนสำเร็จบัตรพลี                         วันดีทำบุญไปให้
            เทวดาอารักษ์ตนใด                          ช่วยหาของหายกลับคืน
    



กาใช้ปากวิดน้ำทะเล (กากชาตกํ)

                                     อปิ  นุ  หนุกา  สนฺตา                        มุขญฺจ  ปริสุสฺสติ  
                       โอรมาม  น  ปาเรม                           ปูรเตว  มโหทธีติ
อรรถกถา กากชาดก
ว่าด้วย กาวิดน้ำด้วยปาก
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุแก่ๆ หลายรูปด้วยกัน ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ดังนี้.
               ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ครั้งเป็นคฤหัสถ์ เป็นกุฏุมพีในเมืองสาวัตถี มั่งมีทรัพย์ เป็นสหายกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว พากันดำริว่า พวกเราเป็นคนแก่ จะมีประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการอยู่ครองเรือน พวกเราจักบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่น่ายินดี ในสำนักของพระศาสดา จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้ แล้วต่างยกสมบัติทั้งปวงให้แก่ลูกหลานเป็นต้น ละหมู่ญาติผู้มีน้ำตานองหน้าเสีย ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา และครั้นบวชแล้ว มิได้ชักชวนกันบำเพ็ญสมณธรรม อันสมควรแก่บรรพชา แม้พระธรรมก็ไม่ศึกษา เพราะความเป็นคนแก่ ถึงจะบวชแล้ว ก็เหมือนในครั้งที่ยังเป็นคฤหัสถ์ ให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ท้ายวิหาร คงรวมกันอยู่นั่นแล แม้เมื่อเที่ยวบิณฑบาตก็ไม่ไปที่อื่น โดยมากชวนกันไปฉันที่บ้านบุตรภรรยาของตนนั่นแหละ
               ในบรรดาคนเหล่านั้น ภรรยาเก่าของพระเถระแก่รูปหนึ่ง ได้มีอุปการะแก่พระเถระแก่ๆ แม้ทั้งปวง เหตุนั้น แม้พระเถระที่เหลือต่างก็ถืออาหารที่ตนได้ มานั่งฉันในเรือนของของนางเพียงผู้เดียว.
               ฝ่ายนางเล่าก็ถวายต้มแกงตามที่ตนจัดไว้ แก่พระเถระเหล่านั้น นางป่วยด้วยอาพาธอย่างหนึ่ง ทำกาละแล้ว.
               ครั้งนั้นพระเถระแก่ๆ เหล่านั้นพากันไปสู่วิหาร กอดคอกัน เที่ยวร้องไห้อยู่ท้ายวิหารว่า อุบาสิกาผู้มีรสมืออร่อย ตายเสียแล้ว ฝ่ายภิกษุทั้งหลายฟังเสียงของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ก็มาประชุมกันจากที่ต่างๆ ถามว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรพวกท่านจึงร้องไห้ พระเถระเหล่านั้นตอบว่า ภรรยาเก่าแห่งสหายของพวกกระผม ผู้มีรสมืออร่อยตายเสียแล้ว นางมีอุปการะแก่พวกผมยิ่งนัก ทีนี้จักหาที่ไหนได้เหมือนนางเล่า เหตุนี้พวกผมจึงพากันร้องไห้.
               ภิกษุทั้งหลายเห็นข้อวิปริตนั้นของพระเถระเหล่านั้นแล้ว พากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุชื่อนี้ พระเถระแก่ๆ ทั้งหลายกอดคอกันเที่ยวร้องไห้อยู่แถวท้ายวิหาร พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุเหล่านั้นพากันเที่ยวร้องไห้ เพราะหญิงนั้นตายลง แม้ในครั้งก่อน ภิกษุเหล่านี้อาศัยหญิงนี้ผู้เกิดในกำเนิดกา แล้วตายเสียในสมุทรร่วมคิดกันว่า พวกเราจักวิดน้ำในสมุทร นำนางขึ้นมาให้จงได้ ดังนี้ พากันเพียรพยายาม เพราะได้อาศัยบัณฑิต จึงได้มีชีวิตอยู่ได้ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดารักษาสมุทร ครั้งนั้น กาตัวหนึ่งพานางกาผู้ภรรยาของตน เที่ยวแสวงหาเหยื่อได้ไปถึงฝั่งสมุทร กาลนั้นฝูงชนพากันกระทำพลีกรรมแก่พญานาค ด้วยน้ำนม ข้าวปายาส ปลา เนื้อและสุราเป็นต้น แล้วพากันหลีกไป.
               ครั้งนั้น กาตัวหนึ่งไปถึงที่พลีกรรม เห็นน้ำนมเป็นต้น ก็พร้อมด้วยนางกากินน้ำนม ข้าวปายาส ปลาและเนื้อเป็นต้น แล้วดื่มสุราเข้าไปมาก กาผัวเมียทั้งคู่ ต่างเมามายสุรา คิดจะเล่นสมุทรกรีฑา เกาะที่ชายหาดทราย หมายใจจะอาบน้ำ ทีนั้นคลื่นลูกหนึ่งซัดมา พาเอานางกาเข้าไปเสียในสมุทร ปลาตัวหนึ่งจึงฮุบนางกานั้น กลืนกินเสีย การ้องไห้รำพันว่า เมียของเราตายเสียแล้ว ครั้นกามากด้วยกัน ได้ยินเสียงร่ำไห้ของมัน ก็มาประชุมกันถามว่า เจ้าร้องไห้เพราะเหตุไร? มันบอกว่า หญิงสหายของพวกท่านกำลังอาบน้ำอยู่ที่ชายหาด โดนคลื่นซัดไปเสียแล้ว กาเหล่านั้นแม้ทุกตัวก็ร้องเอ็ดอึงเป็นเสียงเดียวกัน ครั้งนั้นฝูงกาเหล่านั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า ขึ้นชื่อว่า น้ำในสมุทรนี้ จะสำคัญกว่าพวกเราหรือ พวกเราช่วยกันวิดน้ำให้แห้ง ค้นเอาหญิงสหายออกมาให้ได้.
               กาเหล่านั้นช่วยกันอมน้ำเค็มปากทีเดียว เอาไปบ้วนทิ้งเสียข้างนอก และเมื่อคอแห้งเพราะน้ำเค็มก็พากันขึ้นไปบนบก พวกมันครั้นขาตะไกรล้า ปากซีด ตาแดง ก็อิดโรยไปตามกัน จึงเรียกกันมาปรับทุกข์ว่า ชาวเราเอ๋ย พวกเราพากันอมน้ำจากสมุทรไปทิ้งข้างนอก ที่ที่เราอมน้ำไปแล้ว กลับเต็มไปด้วยน้ำเสียอีก พวกเราคงไม่สามารถทำให้สมุทรแห้งเป็นแน่ ดังนี้แล้ว
               กล่าวคาถานี้ ความว่า
               "เออหนอ ขาตะไกรของพวกเราล้าเสียแล้ว และปากเล่าก็ซีดเซียว พวกเราพากันวิดอยู่ ไม่ทำให้สมุทรเหือดแห้งได้ ดูเถอะ ห้วงน้ำใหญ่คงเต็มอย่างเดิม" ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปิ นุ หนุกา สนฺตา ความว่า เออ ก็คางของเราเมื่อยล้าแล้ว.
               บทว่า โอรมาม น ปาเรม ความว่า พวกเราพากันอมน้ำจากมหาสมุทร ไปทิ้งตามกำลังของตน ก็ไม่อาจทำให้เหือดแห้งได้ เพราะห้วงน้ำใหญ่คงเต็มเหมือนเดิมนั่นเอง.
               ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็ต่างพูดพร่ำเพ้อมากมายว่า จะงอยปากของนางกานั้น งดงามเห็นปานนี้ ตากลมอย่างนี้ ผิวพรรณทรวดทรงงามระหงอย่างนี้ เสียงเพราะปานนี้ เพราะอาศัยสมุทรผู้เป็นโจรนี้ นางกาของพวกเราหายไปแล้ว เทวดาประจำสมุทร สำแดงรูปน่าสะพึงกลัว ไล่ฝูงกาที่กำลังร้องรำพันพร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้ ให้หนีไป ความสวัสดีได้มีแก่ฝูงกานั้นด้วยประการฉะนี้.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               นางกาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาเก่านี้
               กาได้มาเป็นพระเถระแก่ ฝูงกาที่เหลือได้มาเป็นพระเถระแก่ๆ ที่เหลือ
               ส่วนเทวดารักษาสมุทร ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.   

 กากชาตกํ
     อปิ นู หนุกา สนฺตาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต สมฺพหุเล
มหลฺลเก ภิกฺขู อารพฺภ กเถสิ ฯ
     เต กิร คิหิกาเล สาวตฺถิยํ กุฏุมฺพิกา อฑฺฒา มหทฺธนา
อญฺญมญฺญสหายกา เอกโต หุตฺวา ปุญฺญานิ กโรนฺตา สตฺถุ
ธมฺมเทสนํ สุตฺวา มยํ มหลฺลกา กินฺโน ฆราวาเสน สตฺถุ
สนฺติเก รมณีเย พุทฺธสาสเน ปพฺพชิตฺวา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสามาติ
สพฺพํ สาปเตยฺยํ ปุตฺตนตฺตาทีนํ ทตฺวา อสฺสุมุขํ ญาติสงฺฆํ ปหาย
สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ปพฺพชึสุ ปพฺพชิตฺวา จ ปน
ปพฺพชฺชานุรูปํ สมณธมฺมํ น กรึสุ มหลฺลกภาเวน ธมฺมมฺปิ น ปริยาปุณึสุ
คิหิกาเล วิย ปพฺพชิตกาเลปิ วิหารปริยนฺเต ปณฺณสาลํ กาเรตฺวา
เอกโตว วสึสุ ปิณฺฑาย จรนฺตาปิ อญฺญตฺถ อคนฺตฺวา เยภุยฺเยน
อตฺตโน ปุตฺตทารสฺเสว เคหํ คนฺตฺวา ภุญฺชึสุ ฯ เตสุ เอกสฺส
ปุราณทุติยิกา สพฺเพสํปิ มหลฺลกตฺเถรานํ อุปการิกา อโหสิ ฯ
ตสฺมา เสสาปิ อตฺตนา ลทฺธมาหารํ คเหตฺวา ตสฺสาเยว เคเห
นิสีทิตฺวา ภุญฺชนฺติ ฯ สาปิ เตสํ ยถาสนฺนิหิตํ สูปพฺยญฺชนํ เทติ ฯ
สา อญฺญตเรน อาพาเธน ผุฏฺฐา กาลมกาสิ ฯ อถ เต
มหลฺลกตฺเถรา วิหารํ คนฺตฺวา อญฺญมญฺญํ คีวาสุ คเหตฺวา
มธุรหตฺถรสา อุปาสิกา กาลกตาติ วิหารปจฺจนฺเต โรทนฺตา วิจรึสุ ฯ
เตสมฺปน สทฺทํ สุตฺวา อิโต จิโต จ ภิกฺขู สนฺนิปติตฺวา อาวุโส
กสฺมา โรทถาติ ปุจฺฉึสุ ฯ เต อมฺหากํ สหายสฺส ปุราณทุติยิกา
มธุรหตฺถรสา กาลกตา อมฺหากํ อติวิย อุปการกา อิทานิ กุโต
ตถารูปํ ลภิสฺสาม อิมินา การเณน โรทิมฺหาติ อาหํสุ ฯ เตสํ
ตํ วิปฺปการํ ทิสฺวา ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฏฺฐาเปสุง อาวุโส
อิมินา นาม การเณน มหลฺลกตฺเถรา อญฺญมญฺญํ คีวาสุ คเหตฺวา
วิหารปจฺจนฺเต โรทนฺตา วิจรนฺตีติ ฯ สตฺถา อาคนฺตฺวา กาย
นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา อิมาย
นามาติ วุตฺเต น ภิกฺขเว อิทาเนว เต ตสฺสา กาลกิริยาย
โรทนฺตา วิจรนฺติ ปุพฺเพเปเต อิมํ กากโยนิยํ นิพฺพตฺติตฺวา สมุทฺเท
มตํ นิสฺสาย สมุทฺทา อุทกํ อุสฺสิญฺจิตฺวา เอตํ นีหริสฺสามาติ
วายมนฺตา ปณฺฑิเต นิสฺสาย ชีวิตํ ลภึสูติ วตฺวา อตีตํ อาหริ ฯ
     อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต โพธิสตฺโต
สมุทฺทเทวตา หุตฺวา นิพฺพตฺติ ฯ อเถโก กาโก อตฺตโน ภริยํ
กากึ อาทาย โคจรํ ปริเยสมาโน สมุทฺทตีรํ อคมาสิ ฯ ตสฺมึ
กาเล มนุสฺสา สมุทฺทตีเร ขีรปายาสมจฺฉมํสสุราทีหิ นาคพลิกมฺมํ
กตฺวา ปกฺกมึสุ ฯ อเถโก กาโก พลิกมฺมฏฺฐานํ คนฺตฺวา ขีราทีนิ
ทิสฺวา สทฺธึ กากิยา ขีรปายาสมจฺฉมํสาทีนิ ปริภุญฺชิตฺวา พหุง
สุรํ ปิวิ ฯ เต อุโภ สุรามทมตฺตา สมุทฺทกีฬํ กีฬิสฺสามาติ
เวลนฺเต นิสีทิตฺวา นฺหายิตุง อารภึสุ ฯ อเถกา อุมฺมิ อาคนฺตฺวา
กากึ คเหตฺวา สมุทฺเท ปเวเสสิ ฯ ตเมโก มจฺโฉ สํหริตฺวา
อชฺโฌหริ ฯ กาโก ภริยา เม มตาติ โรทิ ปริเทวิ ฯ อถสฺส
ปริเทวนสทฺทํ สุตฺวา พหู กากา สนฺนิปติตฺวา กึการณา โรทสีติ
ปุจฺฉึสุ ฯ สหายิกา โว เวลนฺเต นฺหายมานา อุมฺมิยา หฏาติ ฯ
เต สพฺเพปิ เอกรวํ รวนฺตา โรทึสุ ฯ อถ เนสํ เอตทโหสิ อิมํ
สมุทฺทูทกํ นาม อมฺหากํ กึ ปโหสิ อุทกํ อุสฺสิญฺจิตฺวา สมุทฺทํ
ตุจฺฉํ กตฺวา สหายิกํ นีหริสฺสามาติ ฯ เต มุขํ ปูเรตฺวาว อุทกํ
พหิ ฉฑฺเฑนฺติ โลณูทเกน จ คเล สุสฺสมาเน อุฏฺฐายุฏฺฐาย ถลํ
คนฺตฺวา วิสฺสมนฺติ ฯ เต หนูสุ กิลมนฺเตสุ มุเขสุ สุกฺขนฺเตสุ
อกฺขีสุ รตฺเตสุ กิลมนฺตา หุตฺวา อญฺญมญฺญํ อามนฺเตตฺวา อมฺโภ
มยํ สมุทฺทา อุทกํ คเหตฺวา พหิ ปาเตม คหิตคหิตฏฺฐานํ ปุน
อุทเกน ปูเรติ สมุทฺทํ ตุจฺฉํ กาตุง น สกฺขิสฺสามาติ วตฺวา อิมํ
คาถมาหํสุ
         อปิ นู หนุกา สนฺตา   มุขญฺจ ปริสุสฺสติ
         โอรมาม น ปาเรม   ปูรเตว มโหทธีติ ฯ
     ตตฺถ อปิ นู หนุกา สนฺตาติ อปิ อมฺหากํ หนุกา กิลนฺตา ฯ
โอรมาม น ปาเรมาติ มยํ อตฺตโน พเลน มหาสมุทฺทา อุทกํ
อากฑฺฒมานา โอสาเรม ตุจฺฉํ ปน นํ กาตุง น สกฺโกม อยญฺหิ
ปูรเตว มโหทธีติ ฯ
     เอวญฺจ ปน วตฺวา สพฺเพปิ เต กากา ตสฺสา กากิยา
เอวรูปนฺนาม ตุณฺฑํ อโหสิ เอวรูปานิ วฏฺฏกฺขีนิ เอวรูปํ
ฉวิสณฺฐานํ เอวรูโป มธุรสทฺโท สา โน อิมํ โจรสมุทฺทํ นิสฺสาย
นฏฺฐาติ พหุง วิปฺปลปึสุ ฯ เต เอวํ วิปฺปลปมาเน สมุทฺทเทวตา
เภรวรูปํ ทสฺเสตฺวา ปลาเปสิ ฯ เอวํ เตสํ โสตฺถิ อโหสิ ฯ
     สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ ตทา
กากี อยํ ปุราณทุติยิกา อโหสิ กาโก มหลฺลกตฺเถโร เสสกากา
เสสมหลฺลกตฺเถรา สมุทฺทเทวตา ปน อหเมวาติ ฯ
                     กากชาตกํ ฉฏฺฐํ ฯ

พระคาถาไพรีพินาศ (มนต์คาถาที่ทำให้ศัตรูแพ้ภัยตนเอง)


พระคาถาไพรีพินาศ
มนต์คาถาที่ทำให้ศัตรูแพ้ภัยตนเอง

ภาคต้น
            ขอขมาต่อคุรุครูบาอาจารย์เจ้าทั้งปวง และขออัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งจักรวาลอนันตจักรวาลมาชุมกัน ณ ที่นี้ เพื่อปกปักษ์ป้องกันรักษาให้มีสุขสวัสดิ์ภิพัฒน์มงคลด้วยเทอญ
            มนตรามีมากมาย มีมนต์หนึ่งที่ถูกขาลขึ้นเพื่อปกป้องตนจากอริศัตรูที่ชั่วร้าย ในยุคสมัยนี้ที่ผู้คนได้รู้จักกับมนต์กฤษณะกาลี จากบทละครดังเรื่องบุพเพสันนิวาส โดยรอมแพง ซึ่งเมื่อใดที่สาธยายมนต์นั้นแล้วคนชั่วร้ายจัดต้องมนต์ดุจถูกคำสาปเผาผลาญจนสิ้นชีวิต มนต์กฤษณะกาลีนั้นไม่มีในพระเวทแต่อย่างใด หากแต่พระกฤษณะคืออาวตารหนึ่งของพระนารายณ์ที่อวตารลงมาสำแดงภควัทคีตา ในหมู่มวลมนุษย์รู้ถึงสัจธรรม หากแต่พระแม่กาลี คืออวตารปางอสูรเทพของพระแม่อุมาเทวี ที่ลงมาปราบมารร้ายให้สิ้นไป มนต์บูชาของพระกฤษณพและพระแม่กาลเป็นมงคลยิ่งนัก
พระกฤษณะแสดงวิศวรูปในภควัทคีตา
            มนต์คาถาที่ปรากฏกับพระเวท ในอถรเวทจักมีการกำจัดอริศัตรูด้วยไสยศาสตร์อยู่เป็นนิจ อดีตสยามประเทศที่มีมาแต่อยุธยามีการถือน้ำวาจาสัตย์หรือน้ำพิพัฒน์สัตยานั้นก็ให้ผลสาปแช่งให้ผู้กระทำผิดคำสัตย์สาบานมีอันเป็นไป ซึ่งปรากฏใน โองการแช่งน้ำโคลงห้า
             กระนั้นมนต์ที่ให้ผลคล้ายกันกับ
มนต์กฤษณะกาลี ผู้ที่ประพฤติชั่วประกอบกรรมชั่วจะมีอันเป็นไป เป็นมนต์คาถาที่ทำให้เกิดภัยแก่ศัตรูที่ประพฤติชั่วร้าย แม้คนชั่วร้ายจับต้องมนตราหากจิตใจต่ำทรามมิอาจเข้าถึงธรรม มิอาจเข้าถึงความดี มนตราบทนี้ก็จะเป็นภัยแก่ตนเอง หากมีจิตใจดีงามอยู่เพียงเสี้ยวน้อยนิด มนตราทั้งหลายเหล่านี้ก็จะช่วยค้ำจุนหนุนนำมาอยู่ทางที่ดี ทางบุญได้ในกาลต่อไปภายหน้า
เจ้าแม่กาลี
            มนตรามหากาลี หรือ กาลิกา มหามนตรา  เป็นมนต์บูชาและสรรเสริญเจ้าแม่กาลี พระแม่กาลีในพราหมณ์ฮินดู ปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวีผู้เป็นชายาของพระศิวะเจ้า โดยมนตรามหากาลีนี้ มีอานุภาพปกป้องภัยพิบัติ บำราศความชั่วร้าย ความฉ้อฉลทั้งปวง ตั้งพิธีอารตีไฟ แล้วกล่าวมนตราของเจ้าแม่กาลี  บทบูชาสรรเสริญ และขอพร โดยสังเขป
                                                โอม ศรี มหากาลิกาไย นะมะห์
                                                โอม เจมาตากาลี โอม สตี เยมา ตา กาลี
                                                โอม ศรี มหากาลี มาตา นมัช
                                                โอม ชยะตี มหากาลี ชยะตี อาธยะ กาลี มาตา
                                    ชยะรูปะ ประจัญทิกา มหากาลิกะ เทวี
                                    ชยะตี รักตาสะนะ เราทะระมุขี รุทะรานี
                                    อริ โศนิตขะไประ ภะระนี ขัททะคะ ธรณี ศุจี ปาณนี

บทสรรเสริญพระแม่กาลี
โอม มะหาเมคะ ประภาม ศะยะมาม ตะถา ไจวะ ทิคัมพะรีม
กันถาวะ สักตะ มุนทาลี คะลัท ทะรึธิระจะระจิตาม
กะระณาวะตัม สะตานีตัศวะ ยุคมะภะยานะกาม
โคระทัมษัตตะราม กะราลัศยาม ปีโนนะตะปะโยธะราม
ศะวานาม กะระสังคาไต กะรึตะกานจีมะ หะสันมุขีม
สะริกะ ทะไวยะ คะละทะรักตะธาราวิสะผุริตานะนาม
            ขอน้อมนมัสการ พระแม่กาลี
ผู้ทรงเป็นดั่งปลายทางอันสว่างไสว
ผู้ทรงเปลือยวรกาย และผู้ทรงนำหัวกะโหลกอสูร
มาสวมเป็นสร้อยพระศอ แลดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
            ขอน้อมนมัสการ พระแม่กาลี
ผู้ทรงประดับพระกรรณด้วยกุณฑลอันงดงาม
ผู้ทรงเนรมิตพระวรกายให้ดูหยาบกร้าน
และผู้ทรงมีพระถันอันใหญ่โต
            ขอน้อมนมัสการ พระแม่กาลี
ผู้ทรงนำแขนอสูรมาร้อยเรียงประดับบั้นพระองค์
ผู้ทรงมีพระพักตร์อันแย้มยิ้ม และผู้ทรงประหารกิเลศให้สิ้น
ขอพระองค์ทรงประทานพรแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

มหากาลีมันตระ
โอม กลีม กาลีกาเย นามาฮา
โอม ฮรีม ชรีม กรีม อัถยา กาลีกา ปาราม เอชวารี สาวาฮา
            ขอน้อมกราบแด่องค์มหาเทวี ผู้ซึ่งมีผิวสีดำและทรงพลังอำนาจสูงสุด ขอน้อมกราบต่อองค์มหาเทวี องค์ปฐมแห่งมหาเทวีทั้งปวง ผู้มีพระฉวีสีดำ พระแม่แห่งความจริงแท้ พระแม่ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งยุคปฐมกาล  พระองค์ทรงทำลายภาพมายาและความฉ้อฉลทั้งปวงและนำพาซึ่งความเป็นจริงแท้สูงสุดแห่งจักรวาลมาสู่มวลมนุษย์
सर्वमङ्गलमाङ्गल्ये शिवे सर्वार्थसाधिके
शरण्ये त्र्यम्बके गौरि नारायणि नमोऽस्तु ते
जयंती मंगला काली भद्रकाली कपालिनी
दुर्गा क्षमा शिवा धात्री स्वाहा स्वधा नमोऽस्तु‍ते
Sarvamagalamāgalyē śivē sarvārthasādhikē.
śaraṇyē tryambakē Gauri nārāyaṇi namō'stu tē.

Oṃ jayantī mangala kālī bhadrakālī kapālinī .
durgā ksamā śivā dhātrī svāhā svadhā namō'stu‍tē

            กล่าวถึงพระแม่กาลีแล้วก็มีอีกพระองค์หนึ่งที่ปราบศัตรูและสิ่งชั่วร้ายคือ มหาวีรภัทร เทพอูสรที่อวตารมาจากพระศิวะเจ้า โดยมักปรากฏคู่กับพระแม่กาลี ซึ่งทั้งสองพระองค์จะปราบมารร้ายและสิ่งชั่วร้าย คนชั่วร้ายทั้งหลายจะถูกทั้งสองพระองค์กำราบเสียให้สิ้นไป หากสรรเสริญหรือขอพรจากพระองค์ ไม่ว่าจะสวดบทสักการะ สรรเสริญ มนตรา มันตระหรือสุกรัม ก็ให้ผลอานุภาพได้เช่นเดียวกัน
มหาวีรภัทร เทพอูสร
            ส่วนไภรวะ หรือพระพิราบก็เป็นอวตารหนึ่งของพระศิวะเจ้าที่ตัดเศียรที่ 5 ของพระพรหม ซึ่งคาถาพระพิราบ หรือมนตราไภรวะ ทั้งการร่ายรำ นาฏยัมบทครูพระพิราบที่ถูกต้องแม่นยำย่อมมีอานุภาพในการขจัดสิ่งชั่วร้ายเสนียดจัญไรได้เช่นเดียวกัน

ภาคปลาย


            พระพุทธศาสนากาลล่วงมาแล้วแต่โบราณมีคาถามนตรามากมายที่โบราณจารย์เจ้าได้ประดิษฐ์กลบทขึ้นมามากมายเพื่อกำจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ครั้งกาลถึงกรุงรัตนโกสินทร์สมัย พุทธศักราชได้ ๒๓๙๑ ครานั้นผู้หนึ่งได้อัญเชิญพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ มาถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งขณะนั้นยังผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร และอยู่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธรูปอย่างมหายานปางประทับนั่งประทานอภัย  พระพุทธลักษณะเหมือนพระปางมารวิชัยหัตถ์ขวาที่วางอยู่บนพระชานุขี้น
            เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปนี้มาบูชา เกิดปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์แด่รัชกาลที่ ๔ ปรากฏเป็นหายนะแก่อริศัตรู อริราช ศัตรูที่คิดปองร้ายต่างมีอันเป็นไป ลางคนจักแพ้พ่ายภัยตนไปเสียเอง พระองค์จึงถวายนามว่า “พระไพรีพินาศ” แลภายในเจดีน์มีกระดาษเขียนอักษรว่า "พระสถูปเจดียสิลาบัลลังองค์ จงมีนามว่า พระไพรีพินาศเจดียเทิญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำแล้วมา คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ณ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร

พระคาถาไพรีพินาศ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ     สุจิรัง ปะรินิพพุโต
คุเณหิ ธะระมาโนทานิ          ปาระมีหิ จะ ทิสสะติ
ยาวะชีวัง อะหัง พุทธัง        ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คะโต
ปูเชมิ ระตะนัตตะยัง            ธัมมัง จะรามิ โสตถินา ฯ
                                            นะมัสสะ พระพุทธะไพรีพินาศายะ
                                    มาราปะราชะยัง นะมามิหัง พุทธังวันทามิ
                                    ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ สัพพะโส ฯ
            สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเสด็จดับขันธปรินิพพานมาช้านานแล้ว แต่ก็ยังทรงปรากฏดำรงอยู่ในบัดนี้ โดยพระคุณและพระบารมีทั้งหลาย
            ข้าพพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
บูชาอยู่ซึ่งพระรัตนตรัย ขอประพฤติธรรม โดยสวัสดี เทอญ ฯ
            ขอให้ข้าพเจ้าจงประสพแต่ความสุข ความเจริญ ด้วยบารมีของพระพุทธไพรีพินาศเทอญ ฯ

อุปเทห์โดยพิสดาร พระคาถาไพรีพินาศหากเพียงเจริญพระพุทธมนต์แล้ว เจริญอยู่เป็นนิจ อยู่สม่ำเสมอ ศัตรูทั้งหลายจักบำราญพินาศสิ้น อาจารย์ท่านว่า จารลึกนามของอริศัตรูไว้ วางทับด้วยพระพุทธไพรีพินาศ สวดภาวนามนต์คาถาพร่ำบ่นมนต์เรื่อยไป
 แผ่เมตตาว่า “สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ , กัล๎ยาณัง วา ปาปะกัง วา , ตัสสะ ทายาทา ภาวิสสันติ”
แผ่เมตตาถึงทำดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ดังคำแปลที่ว่า
“สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน , มีกรรมเป็นผู้ให้ผล ,   มีกรรมเป็นแดนเกิด ,มีกรรมเป็นผู้ติดตาม , มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย จักทำกรรมอันใดไว้ , ดีหรือชั่วก็ตาม , จักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป”
อานิสงค์ทั้งปวงที่เกิดจักเป็นมงคลแก่ผู้สวดภาวนา หากแต่อริศัตรูนั้นจักพินาศย่อยยับอัปราชัยแพ้ภัยตนเองไปตามลำดับเป็นต้นไป

อวสานบท
            ธรรมทาน และ อภัยทาน ย่อมเป็นทานอันบริสุทธิ์ยิ่ง อย่าได้พยาบาทอาฆาตมาตร้ายอริศัตรู ขอให้เจริญแผ่เมตตาเทิด จัดเกิดผลดีขึ้นมาโดยมีต้องทำร้ายผู้อื่นผู้ใดเลย คาถาพระไพรีพินาศก็จบด้วยประการละฉะนี้แล
                                                                                                            ๙ มหาเวทย์