น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ในพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ




                        น้อมรำลึกในสายธารน้ำพระราชหฤทัยและพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
                                   ใน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
                        มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร 


                                ด้วยอานิสงค์แห่งผลบุญที่เกล้ากระหม่อมบำเพ็ญมาแต่ชาติปางใด
                        ขอพระบรมราชานุญาตน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศล
                                   ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย

                                  ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
                                        ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าฯ 

                                                                    
 ๙ มหาเวทย์
                                                                ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙

...................................................................

ถวายอาลัย แด่ ในหลวง ท่านทรงเป็นพ่อหลวงแห่งแผ่นดิน


                   กลอนถวายอาลัย
       แสงหนึ่ง บนฟากฟ้า ส่องสว่าง
เป็นหนทาง ชาวประชา ไทยทั้งผอง
สองรอยเท้า ของพ่อ เป็นครรลอง
มือทั้งสอง พ่อท่านจูง สอนลูกเดิน
       พ่อเป็นดั่ง ร่มโพธิ์ แผ่ใบใหญ่
ดั่งร่มไทร ใบหนา ที่กว้างขวาง
เป็นร่มเงา อันร่มเย็น ตลอดทาง
พ่อทรงสร้าง ทางไว้ ให้ลูกเดิน
       พ่อประดุจ ภูผา ที่สูงใหญ่
ไม่หวั่นไหว ยามพายุ เข้าถาโถม
ยามแห้งแล้ง เป็นสายฝน คอยชะโลม
คอยประโลม ยามลูกเจ็บ พ่อปลอบใจ
       แสงประทีป ขจัด ความมืดมิด
ประกาศิต ของพ่อ เป็นคำสอน
ขจัดทุกข์ บำรุงสุข ราษฏร
พ่ออวยพร ให้ลูกนั้น สุขสบาย
        ในวันนี้ แสงนั้น กลับดับลง
ความมั่นคง ในใจ ลูกสั่นไหว
พ่อไม่อยู่ คราวนี้ จากเราไกล
พ่อจากไป จากชาวไทย ทั้งแผ่นดิน
        ดังมวลเมฆ หมอกมัว ลอยมาปิด
มืดสนิท ทั่วทิศ ทุกแห่งหน
ร่มไม้ใหญ่ ใบหนา โรยร่วงหล่น
ความร้อนรน ปนเศร้า เคล้าน้ำตา
          ภูผาใหญ่ ถล่ม ลงมาแล้ว
สายลมแผ่ว พายุพัด ก็เหน็บหนาว
ที่พักพิง อันอบอุ่น ทุกครั้งคราว
บัดนี้ร้าว พังทลาย สลายไป
                                โคลงมรณานุสติ
        เวลาย่อมผ่านพ้น          ไม่คืน
วันนี้คือวันมะรืน                  พรุ่งนี้
เวลามิอาจหวนคืน                ให้ย้อน กลับมา
วันคืนที่ล่วงลับแล้ว              คาดแคล้วจากลาฯ
        เช้านี้ได้พบหน้า           สายพราก
สายบ่คลายแยกจาก              บ่ายม้วย
บ่ายสุขสบายมาก                 ค่ำดับ มรณา
เย็นอยู่ยืนหยัดได้                  ราตรีสิ้นชีวายฯ

๙ มหาเวทย์
      ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

.....................................................................................
ถวายบังคมพระบรมศพ

      กราบบังคมพระบรมราชา
ประทับเหนือพระแท่นแว่นฟ้า
สถิต ณ บรมโกศประดับมาลา
ใต้มหาเศวตฉัตรพระนพปฎล
     ธ สถิตในดวงใจไทยทั่วหล้า
ธ เสด็จสู่ชั้นฟ้าสรวงสวรรค์
ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์
ธ ทรงเป็นมิ่งขวัญนิรันดร
     น้อมเกล้าส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
น้อมดวงใจส่งพระองค์สู่สวรรค์
น้อมดวงจิตส่งกุศลทุกคืนวัน
น้อมให้ท่านทรงสำราญพระหฤทัย
      ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติใป
ขอรับใช้ใต้พระบาททุกชาติภพ
ขออยู่ใต้พระบารมีทุกภูมิที่บรรจบ
ขอน้อมนบไว้เหนือเกล้าตลอดกาลฯ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอถวายสัตยาธิษฐานเป็นปณิธาน
ขอดวงพระวิญญาณของท่านทรงสดับเป็นสักขีพยาน

                        “ วันหนึ่งวันใดที่เกล้ากระหม่อมได้รับใช้ประชาชน เป็นข้าในแผ่นดินนี้
                        เกล้ากระหม่อมขอถวายคำปรารภด้วยเจตนารมณ์นี้
                        ตราบใดที่ความทุกข์ทรมานจากโรคภัยยังไม่สิ้นไป
                        เกล้ากระหม่อมจะขออยู่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทั้งมวล
                        จวนจนผู้คนทั้งหลายจะพ้นจากความทุกข์ทรมาน
                        เกล้ากระหม่อมจะรักษาร่างกายที่เจ็บป่วยและเยียวยาจิตใจที่เจ็บปวด
                        ขจัดความทุกข์ทรมาน
จากโรคภัยเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป ”

                                                                                           ๙ มหาเวทย์
                                                           ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
                                                                           
      ๖ - ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙



                                                                                   



กระทู้ ๗ แบก (คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ) ยันต์เกาะเพ็ชร

วิชากระทู้ ๗ แบก (คาถาอิติปิโส ๘ ทิศ)
เรียบเรียงโดย ๙ มหาเวทย์

ภาคต้น
                                  นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
                         ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
                                    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
                                    วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
                                    อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ
                                    สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
            สิทธิการิยะ คุรุบุราณครูบรูพาจารย์เจ้าท่านประสิทธิ์กลบทพระคาถาอิติปิโส ๘ ทิศ อันกล่าวขาลกันในนาม กระทู้ ๗ แบก เป็นฉันทลักษณ์ ๗ คำ เรียงสลับสับเปลี่ยนด้วยกลวิธีเขียนลง ๘ บรรทัด ไล่ลงจากบนลงล่าง ได้แถวละ ๗ คำ จึงเรียกว่า ๗ แบก ดังจักประสิทธิ์ไว้เช่นนี้
            ให้ตั้งพานขันบูชาครูเป็นพระรัตนตรัย ประกอบด้วยธูป ๓ ดอก เทียน ๒ เล่ม แลมีดอกบัว ๘ ดอก ขึ้นบูชาคุณพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วจงนำเอาก้อนหินขนาดหนึ่งกำมือ เปรียบประดุจเท่าหัวใจของตน เอาก้อนหินขนาดนั้นมา ๘ ก้อน ชำระบริสุทธิ์ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ วางบนขันไว้ในปรัมพิธี พึ่งแยกเป็นแปดพานแล้วใส่ดอกไม้ขวาดอกไม้แดงข้าวตอกดอกไม้จัดไว้คอยท่าไว้แลนา

            บทพระพุทธคุณ




“อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ  สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ”
            เมื่อนำบทพระพุทธคุณมาเข้ากลบทวิธี เขียนจากบนลงล่าง ๘ คำ แล้วไล่เรียงไปจนหมด ๕๖ คำจะได้ ๘ แถว แถวละ ๗ คำ ดังนี้









     จำแนกแจกแจงทิศาวิธีการเป็น ๘ ทิศมีพระพุทธคุณอยู่เหนือเกตุเกล้าศีรษะของตนเป็นศูนย์กลาง                 

๑.อิระชาคะตะระสา เรียกว่า กระทู้ ๗ แบก คุ้มทิศบูรพา เสกเป่าพิศสัตว์กัดต่อย
๒.ติหังจะโตโรถินัง เรียกว่า ฝนแสนห่า คุ้มทิศอาคเนย์ บทนี้ทำน้ำมนต์ รดคนเจ็บไข้ได้ป่วย
๓.ปิสัมระโลปุสัตพุธ เรียกว่า นารายณ์เกลื่อนสมุทร คุ้มทิศทักษิณ ภาวนากันภูตผีปีศาจ
๔.โสมานะกะริถาโธ เรียกว่า นารายณ์คลายจักร คุ้มทิศหรดี ทำน้ำมนต์ ไล่ผี หรือคนท้องกินคลอดลูกง่าย
๕.ภะสัมสัมวิสะเทภะ เรียกว่า นารายณ์ขว้างจักรไตรตรึงภพ คุ้มทิศประจิมเสกพรมร่างคนไข้ ไล่ภูพผีปีศาจ
๖.คะพุทปันทูธัมวะคะ เรียกว่า นารายณ์พลิกแผ่นดิน คุ้มทิศพายัพ เสกน้ำมนต์ป้องกันผี หรือถูกคุณกระทำชะงักนัก
๗.วาโธโนอะมะมะวา เรียกว่า ตวาดป่าหิมพานต์ คุ้มทิศอุดร เสกด้าย หวาย มีด ข้าวสาร ขับไล่ผี ผีป่าเวลาเดินทาง
๘.อะวิชสุนุตสานุสติ เรียกว่า นารายณ์แปลงรูป คุ้มทิศอีสาน เสกเป่าตัวเอง เวลาออกจากบ้านแคล้วคลาด



ภาคปลาย
ครั้งจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จากนั้นตั้ง นะโม ๓ จบ กล่าวว่า
"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”

ขึ้นบทพระพุทธคุณ กล่าวว่า
“อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ
สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ”
เมื่อเสร็จแล้วให้นำก้อนหินออกมาเรียงรอบตัวไว้ ๘ ทิศ ทิศละ ๑ ก้อน
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันออก เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
 “อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา” ๗ จบ เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง”
๗ จบ เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศใต้ เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท” ๗ จบ
 เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันตกใต้ เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ” ๗ จบ เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันตก เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ” ๗ จบ เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
 “คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ” ๗ จบ เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศเหนือ เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“วา โธ โน อะ มะ มะ วา” ๗ จบ
เป่าลงไปแลนา
คราวผินหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียง เพ่งลงก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้า แล้วบริกรรมว่า
“อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ” ๗ จบ เป่าลงไปแลนา

จากนั้นให้หันหน้าเข้าหาปรำพิธี แล้วบริกรรมคาถาว่า
                       อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา             ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
                       ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท            โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
                       ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ           คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ
                       วา โธ โน อะ มะ มะ วา            อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ
อีก ๗ จบ สวดจนจำแม่นยำขึ้นใจ ภาวนาจนมิผิด แล้วเป่ามนต์นี้ลงก้อนหิน นำเอาก้อนหินนั้นมาวางเป็นขอบขันธ์เขตบ้านเมืองเรือนอาศัย คุ้มเรือนสุ่มไฟป้องกันภูตผีป่าสัมภเวสีผีเร่ร่อน
              หากแม้นว่าต้องเดินทางไปค้างแรมที่ใดหรืออยู่ในสถานที่อันวิเวกวังเวง มีภูตผีปิศาจและคุณไสย์อาคมอาถรรพ์ก็ให้หยิบหินขึ้นมา ๘ ก้อน บริกรรมคาถานี้แล้ววางไว้รอบตัวหรือสถานที่นั้นๆจะป้องกันคุ้มภัยจากสัมภเวสีผีร้ายและคุณไสย์ได้ ประดุจดังเกราะเพชรกล้าเขตอาคมปกป้องรักษามิให้คุณไสย์มนดำแลผีร้ายร่วงกล้ำกลายเข้าพื้นที่นั้นได้ พุทธคุณที่เกิดจากการบริกรรมคาถานี้จักช่วยเป็นดังเกราะคุ้มครองตนไปในทิศทั้ง ๘ บริกรรมยามใดจะปลอดภัยจากคุณไสย์มนต์ดำ
            อนึ่งพระคาถานี้ยังเป็นคาถาประจำวันเกิด ด้วยว่ามีทั้งหมด ๘ บท จึงจำแนกแจกไว้ประจำวันทั้ง ๘ คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธกลางวัน ราหูพุธกลางคืน พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ โดยจักสวดมนต์นี้ตามกำลังวันของวันนั้น
 
มนต์ประจำวันอาทิตย์
                                                            อะ วิช สุ นุต สา นุส ติ

พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางถวายเนตร พระอาทิตย์มีกำลัง ๖ ราชสีห์สิงโต สวดคาถาบูชา  ๖ จบ  

มนต์ประจำวันจันทร์
            อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางห้ามญาติ หรือห้ามสมุทร พระจันทร์มีกำลัง ๑๕ นางฟ้า แล้วสวดคาถาบูชา ๑๕ จบ

มนต์ประจำวันอังคาร
                                                           ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระอังคารมีกำลัง ๘ มหิสา แล้วสวดคาถาบูชา ๘  จบ

มนต์ประจำวันพุธ กลางวัน
                                                            ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระพุธมีกำลัง ๑๗ คชสาร แล้วสวดคาถาบูชา ๑๗ จบ

มนต์ประจำวันพุธ กลางคืน (ราหู)
คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ พระราหูมีกำลัง ๑๒ หัวผีโขมด แล้วสวดคาถาบูชา  ๑๒ จบ

มนต์ประจำวันพฤหัสบดี
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพฤหัสฯมีกำลัง ๑๙ ฤๅษี แล้วสวดคาถาบูชา 19 จบ

มนต์ประจำวันศุกร์
วา โธ โน อะ มะ มะ วา

พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางรำพึง พระศุกร์มีกำลัง ๒๑ โค แล้วสวดคาถาบูชา ๒๑ จบ

มนต์ประจำวันเสาร์
โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
พระประจำวันเกิดพระพุทธรูปปางนาคปรก พระเสาร์มีกำลัง ๑๐ พยัคฆา  แล้วสวดคาถาบูชา ๑๐จบ

กลบทเกราะเพ็ชร ยันต์กลเพ็ชร

อิ จะ ตะ นัง ถา คะ นุ อะ วิ คะ มา ติ ชา โร สา สัต  ภะ มะ นุ โธ  ภะ สัม โต ระ พุท วา สา โน อะ พุท โส หัง คะ ถิ โธ วะ ติ มา สุ วา สัม ปิ ระ ระวิ  ปุ ณะ ทู ริ  สัม ทัม กะ ปัน สะ โล  

อิจะตะนังถาคะนุ                    อะวิคะมาติชาโร
สาสัตภะมะนุโธภะ                 สัมโตระพุทวาสา
โนอะพุทโสหังคะถิ                 โธวะติมาสุวาสัม
ปิระระวิปุณะทูริ
                       สัมทัมกะปันสะโล  


สิทธิการิยะ ยันต์หนึ่งที่ครูบาอาจารย์เจ้าท่านอรรถธิบายมาแต่โบราณ คราหนึ่งปรากฏขึ้นในพระร่วงเจ้า ยันต์นั้นประกอบขึ้นด้วยกระทู้ ๗ แบก มีอิติปิโส ๘ ทิศ ร่ายเรียงเขียนไว้แล้วชักสูตรลงเป็นตาข่ายคุ้มรอบขอบบนล่าง ได้รูปยันต์ศักดิ์สิทธิ์นักแล
            พึ่งนำธูปเทียนเครื่อง ๑ ตั้งขันบูชาครู ผ้าขาวคืบ ผ้าแดงคืบ ทำเป็นยันต์ เขียนอักขระแล้วชักสูตร คราใดขึ้น ๕ ค่ำ วันเสาร์ ให้เสกเป่าถมด้วยพระคาถาอิติปิโสแปดทิศ ๑๐๘ คาบ คราใดแรม ๕ ค่ำ วันเสาร์ ให้เสกเป่าถมด้วยพระคาถาอิติปิโสแปดทิศ ๑๐๘ คาบ นำขึ้นบูชาแล้วป้องกันคุ้มครองดังปราการเราะเพชรรัตน์อันวิเศษ
            ขึ้นขันธ์ ๘ ด้วยเครื่องบูชาครูบาอาจารย์ ธูปเทียนดอกไม้ ๘ ทั้งหมากพูล ผ้าขาวผ้าแดง ตั้งศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ยามขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ ลงเลขเสกยันต์ สักยันต์เกาะเพชรนี้คุ้มกายา พึ่งสักแบบชักสูตร สักอักขระแล้วลากต่อไปลงอักขระตัวต่อไปจนครบ ๕๖ อักขระ แล้วตรึงด้วยทองคำเปลว เมื่อเป่าเสกปลุกขึ้นมายันต์เกราะเพชรจะคุ้มตัวขึ้นเป็นร้อนทั้งร่ายกาย ร้อนหน้า ร้อนหู ให้ภาวนาพระคาถาตรึงไว้ในใจไปมานาน ๓ วัน ๗ วัน ตราบเท่าที่ร้อนกายจะสงบลง
            อุปเทห์ว่าผู้ใดครอบครองยันต์นี้จักเป็นมงคล ปิดแปะยันต์ไว้ในบ้านจะคุ้มครองป้องกันไสยศาสตร์แก้อาถรรพ์ทั้งปวง ผู้ใดมียันต์กับตัว จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด จะไม่ตายด้วยพิษสรรพสัตว์ ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกประการ ไสยศาสตร์ทุกอันจักสะท้อนย้อนกลับ ดังได้พรรณามาด้วยประการเช่นนี้

อุปเทห์
            กระทู้เจ็ดแบก อาจารย์จําแนกไว้บูชา เสกข้าวกินทุกวัน อาจป้องกันเครื่องศาสตรา อนึ่งภาวนา แล้วหันหน้าสู่ช้างสาร อาจหักงวงคชา ด้วยพลาอันห้าวหาญ มีกําลังเหลือประมาณ ยิ่งช้างสารอันตกมัน ฤษีทั้ง7องค์ ท่านดํารงอยู่ทิศนั้น เมื่ออภิวันท์ หันพักตร์นั้นทางทิศบูรพา
            อาคเนย์ฝนแสนห่า ใช้ภาวนาคราเดินทาง ถึงเดินสิ้นทั้งวัน เรื่องนํ้านั้นอย่าระคาง เสกหมากรับประทานพลาง สิบห้าคําอ้างกินเรื่อยไป แม้นใคร่ให้มีฝน อย่าร้อนรนจงใจเย็น ให้เสกไส้เทียนชัย เสกให้ได้แสนเก้าพัน แล้วให้นึกเทเวศ ผู้เรืองเดชในสวรรค์ อิทรพรหมสิ้นด้วยกัน ตลอดจนถึงชั้นอะกะนิฏฐ์ ฝนก็จะตกหนัก เพราะอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีโรคอันวิปริต จงพินิจพิจารณา เอาทํานํ้ามนต์ แล้วพรํ่าบ่นด้วยคาถา เสกพ่นสัก
7ครา มิทันช้าก็จักหาย อาคเนย์นามทิศศา จงหันหน้าไปโดยหมาย เคารพครูบรรยาย แล้วจึงร่ายคาถาเอย
            นารายณ์กลืนสมุทร์ ฤทธิรุททิศทักษิณ เรื่องฝีเกลื่อนหายสิ้น ไม่ต้องกินเสกพริกไทย เจ็ดเม็ดเสกเจ็ดหน แล้วจงพ่นลงทันใด สามครั้งก็จะหาย สมดังใจจํานง อนึ่งใช้เสกปูน สําหรับสูญฝีหัวลง มิช้าฝีก็คง ยุบย่อลงในบัดใด ภาวนาลงกระดาษ อย่าประมาทจงตั้งใจ ฟั่นเทียนเอาทําไส้ เทียนนั้นไซร้หนึ่งบาทหนา ลงคาถาล้อมให้รอบ ตามระบอบอย่ากังขา เท่ากําลังเทวดา ตามชันษาผู้เป็นไข้ แล้วจุดบูชาพระ อย่าได้ละภาวนาไป มิช้าไข้นั้นไซร้ จะหายดังปลิดทิ้ง
            หรดีพึงสําเหนียก มีชื่อเรียกเป็นสองอย่าง คือนารายณ์คลายจักรอ้าง กับอีกทั้งพลิกแผ่นดิน มีฤทธิ์และศักดา ทั้งเดชาและโกสินทร์ ภาวนาเป็นอาจิณ ยําเกรงสิ้นเหล่าศัตรู รําลึกแต่ในใจ ข้าศึกไซร้ปืนสู้ หย่อนกําลังพรั่งพรู ไม่คิดสู้เราต่อไป ถึงแม้คนใจกล้า พอเห็นหน้าก็อ่อนไป ครูเฒ่าท่านสอนไว้ แม้สิ่งใดมีประสงค์ สิ่งนั้นพลันต้องได้ สมดังใจจํานง เพราะคาถาเป็นมั่นคง อย่างวยงงจงบูชา คุณครูผู้บรรยาย ท่านเร่ย้ายหรดีทิศา เมื่อจะภาวนา จงหันหน้าทางนั้นเอย
            ทิศประจิมนามประหลาด ชื่อตวาดหิมพานต์ มีเดชอันห้าวหาญ ดุจช้างสารไม่กลัวตาย พบช้างและปะเสือ ที่ดุเหลือทั้งโคควาย อีกทั้งโจรดุร้าย ก็อย่าได้นึกกลัวมัน จงนิ่งภาวนา พระคาถาไปฉับพลัน เป็นมหาจังงังอัน วิเศษยิ่งอย่ากริ่งใจ สัตว์ร้ายและคนพาล ไม่อาจหาญเข้ามาใกล้ ให้แคล้วให้คลาดไป จงท่องไว้ทั้งเช้าคํ่า อนึ่งเมื่อภาวนา จงหันหน้าอย่าถลํา ทิศประจิมจงจดจํา ดังแนะนําดังนั้นเอย
            พายัพนามทิศ มหิทฤทธิ์นั้นมากนัก ชื่อว่านารายณ์กลืนจักร์ มีฤทธิ์ศักดิ์นั้นย้อนยอก ครูเฒ่าท่านกล่าวมา ถ้าแม้นลูกไม่ออก เอานํ้าใส่ขันจอก แล้วเปล่งออกซึ่งวาจา เสกนํ้าทํานํ้ามนต์ ร้อยแปดหนด้วยคาถา ให้กินอย่ารอช้า พรหมกายาตลอดศรีษ์ บุตรน้อยจะค่อยเคลื่อน ขยัยเขยื้อนเคลื่อนอินทรีย์ เสดาะเสกวารี หากไม่มีนํ้ากระสาย จงเป่าด้วยคาถา ไม่ทันช้าหลุดกระจาย ครูประสิทธิ์บรรยาย ท่านเร่ย้ายอยู่พายัพ เพื่อเป็นการคํานับ ตามตําหรับอาจารย์เอย
            นารายณ์ขว้างจักร์นี้เลิศลบ อีกนามหนึ่งตรึงไตรภพ สองชื่อย่อมลือจบ ทั่วพิภพเรืองเดชา ภาวนาสูดลมไป ว่าให้ได้สักสามครา คอยดูที่ฉายา ถ้าเห็นเงาว่าหายไป ครานั้นจงชื่นชม คนนับหมื่นหาเห็นไม่ บังตาหายตัวได้ ครูกล่าวไว้เร่งบูชา หันพักตร์สู่อุดรทิศ แล้วตั้งจิตภาวนา ตามบทพระคาถา ที่กล่าวมาแต่ต้นเอย
            อิสานนามแถลง นารายณ์แปลงรูปโดยหมาย ภาวนาอย่าระคาย ศัตรูร้ายแปลกเราไป เมื่อนัก จงรู้จักที่อย่างดี แล้วเสกให้บ่อยๆ อย่างน้อยๆ ๑๐๘ ที แล้วเก็บไว้ให้ดี ถึงคราวที่จะต้องใช้ เสกอีกสักเจ็ดหน ประกายตนแล้วจึงไป เป็นเสน่ห์แก่ผู้ใช้ ทั้งหญิงชายทุกภาษา ไม่ว่าคนชั้นไหน แต่พอได้เห็นพักตรา ให้รักด้วยเมตตา ประหนึ่งว่าเป็นลูกหลาน แคล้วคลาดเหล่าศัตรู สิ้นทั้งหมู่อันธพาล ครูอยู่ทิศอิสาน จงนมัสการและบูชาเอย

อวสานบท
กลบทคาถาอิติปิโสแปดทิศ มาแต่พระพุทธคุณ ๕๖ เป็นคุณแห่งพระพุทธคุณ จงเจริญบริกรรมภาวนาดุจนำประคำมาร่ายภาวนาจักเป็นประคำบารมี ป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายแลถึงซึ่งพระพุทธคุณได้โดยปริโยสานสนันตา

๙ มหาเวทย์

สรภัญญะ พระพุทธสิหิงค์คำฉันท์

สรภัญญะ พระพุทธสิหิงค์คำฉันท์


หันทะ มะยัง พุทธะปังสังเสา คาถาโย พุทธะสิหิงโค นามะ ภะณามะ เส ฯ

อิติ ปะวะระสิหิงโค                              อุตตะมะยะโสปิ เตโช
            ยัตถะ กัตถะ จิตโตโส                           สักกาโร อุปาโท
            สะการะ พุทธะสาสะนัง                       โชตะยันโตวะ พุทโธ ติ ฯ
            สุระนะเรหิ มะหะโต                             ธะระมาโนวะ พุทโธ ติ ฯ


พุทธสิหิงคา                                      อุบัติมา ณ แดนใด
ประเสริฐ ธ เกริกไกร                          ดุจกายพระศาสดา

เป็นที่เคารพน้อม                                 มนุษย์พร้อมทั้งเทวา
เปรียบเช่นชวาลา                                 ศาสนาที่ยืนยง
เหมือนหนึ่งพระสัมพุทธ-                    สุวิสุทธิ์พระชนม์คง
แดนใดพระดำรง                                 พระศาสน์คงก็จำรูญ
ด้วยเดชสิทธิ์ศักดิ์                                 ธ พิทักษ์อนุกูล
พระศาสน์ บ มิสูญ                              พระเพิ่มพูนมหิทธา
ข้า ฯ ขอเคารพน้อม                             วจีค้อมขึ้นบูชา
พิทักษ์ ธ รักษา                                    พระศาสน์มาตลอดกาล
ปวงข้าจะประกาศ                               พุทธศาสน์ให้ไพศาล
ขอพระอภิบาล                                     ชินมารนิรันดร์ เทอญ ฯ
(กราบ)