สัญชีวนีมนต์ (ว่าด้วยการทำให้ไม่ตาย)

สัญชีวนีมนตรา มฤตสัญชีวนีมนต์ สัญชีวนี

            จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้สั่งสมมาในการศึกษาศาสตร์แขนงนี้ และได้ค้นคว้ามาในระยะเวลาหนึ่ง ผู้เขียนได้รวบรวมความรู้ส่วนหนึ่งเข้ามาไว้ในบทความนี้ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนทั้งหลาย แม้ว่าจะไม่ละเอียดมากนั้นแต่ก็คงพอเป็นแนวทางแก่ผู้กำลังจะศึกษาเรื่องนี้อยู่ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเช่นนี้
                                                             ..........................
ภาคต้น สัญชีวนีในวรรณกรรม
มนต์บทหนึ่งที่เป็นตำนานกล่าวขาลกันมาแต่ยุคโบราณ ปรากฏอยู่พระเวท และชาดกเรื่องต่างๆ ทั้งในวรรณกรรมต่างๆ รามยาณะ นิทานเวตาล แม้แต่ในพระอภัยมณี

ในปุราณะ และรามยาณะ
ความเป็นมาของมนต์บทนี้ เป็นมนต์อมฤต เป็นมนต์ที่คล้ายว่าเป็นอมตะ เท้าความถึงเทพนพเคราะห์ นามว่า อุศนัศ เป็นบุตรของพระฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7 มนัสบุตรของพระพรหมา กับนางชยาติ ซึ่งอุศนัศจึงอยู่ในวรรณะพราหมณ์ ในวัยหนุ่มอุศนัสได้ร่ำเรียนพระเวทกับพระฤาษีอังคีรส ในการเล่าเรียนครั้งนั้นได้เรียนพร้อมกับพระพฤหัสบดี จึงมีความชำนาญในพระเวทไม่แพ้พระพฤหัสบดี แต่พระฤาษีอังคีรสมีความลำเอียง รักพระพฤหัสบดีมากกว่า อุศนัศจึงไปศึกษากับพระฤาษีเคาตมะแทน และได้รับขาลนามว่าเป็น “ศุกระจารยะ ” หรือ “ ศุกราจารย์” เป็นครูของเหล่าอสูร ต่อมาศุกราจารย์ได้บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งคลัดต่อพระศิวะมหาเทพ เมื่อการบำเพ็บตบะครั้งนั้นเป็นไปด้วยดี แต่พระอินทร์เคยส่งนางชยันตีไปรบกวนตบะของศุกราจารย์ เพื่อให้การบำเพ็ญตบะดังกล่าวไม่สัมฤทธิ์ผล แต่กลายเป็นว่านางไปปรนนิบัติแก่ศุกราจารย์เป็นอย่างดี จนการบำเพ็ญตบะครั้งนั้นสำเร็จ ศุกราจารย์จึงขอพรจากพระศิวะมหาเทพถึงมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ทำให้ไม่ได้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายไปแล้วขึ้นมาได้ พระศิวะมหาเทพจึงประทานมนต์ “สัญชีวนี” ให้แก่ศุกราจารย์ 

            ในวามนาวตาร ครั้งหนึ่งท้าวอสูรพลีสู้รบกับเหล่าเทวดาในศึกชิงน้ำอมฤต แต่อสูรพลีพ่ายแพ้แก่เทวดา จึงถูกเหล่าเทวดาฆ่าตาย แต่เมื่อเหล่าอสูรนำศพของท้าวอสูรพลีกลับเข้าเมือง ศุกราจารย์เห็นดังนั้นจึงใช้มนต์สัญชีวนีชุบชีวิตท้าวอสูรพลีขึ้นมาใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิมและมีฤทธานุภาพมากกว่าเดิม ออกสู้รบจนยึดของได้ทั้งบาดาล มนุษย์และสวรรค์ ทั้งพระอินทร์และเหล่าเทวดาจึงไปเข้าเฝ้าพระนารยณ์เพื่อขอความช่วยเหลือ
            พระนารายณ์จึงอวตารมาเป็นพราหมณ์ร่างเล็ก นามว่า วามน  หรือวามนาพราหมณ์  ไปพบท้าวพลี   และท้าวพลีก็เกิดความเลื่อมใสในวามนาพราหมณ์ตั้งแต่แรกเห็น  จนถึงกับออกปากว่า “ ไม่ว่าท่านจะประสงค์สิ่งใด  เราก็จะให้ตามนั้น ”  พระนารายณ์ในร่างวามนาพราหมณ์จึงตอบว่า “ เราต้องการที่ดินเพียงแค่สามย่างก้าวเท่านั้น ” ซึ่งท้าวพลีก็เห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยเหลือเกินจึงตกลงมอบให้  ทว่าพระศุกร์ผู้เป็นปุโรหิตและอาจารย์ของท้าวพลีเห็นผิดสังเกตจึงทักท้วงห้าม  เนื่องจากรู้สึกว่าสิ่งที่พราหมณ์ร่างเล็กนี้ขอเป็นสิ่งที่ผิดปกติเกินกว่าที่ใครๆจะขอกัน  จึงน่าจะมีเลศนัยบางอย่างอันเป็นภัยใหญ่หลวงแฝงมา  แต่ท้าวพลีก็ไม่เชื่อฟังคำเตือนของศุกราจารย์   จึงนำสุหร่ายบรรจุน้ำสิโนทกมาเตรียมที่จะทำการหลั่งน้ำสิโนทกมอบที่ดินสามย่างก้าวให้แก่วามนาพราหมณ์
            ศุกราจารย์ จึงได้แฝงเข้าในสุหร่ายนั้น  และใช้ร่างตนเองปิดกั้นไม่ให้น้ำสิโนทกไหลออกมา  ฝ่ายท้าวพลีเมื่อไม่อาจหลั่งน้ำได้ก็ประหลาดใจ  แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไรมากไปกว่าคิดว่าสุหร่ายคงจะตัน  พระนารายณ์เห็นได้ทีจึงอาสาตรวจดูสุหร่ายให้  และใช้ใบหญ้าคาแทงเข้าไปในสุหร่าย  เพื่อแทงตาศุกราจารย์ ให้ได้รับความเจ็บปวดจนต้องละจากสุหร่ายไป  ท้าวพลีจึงสามารถหลั่งน้ำสิโนทกได้  และในทันทีที่พิธีมอบเสร็จสิ้นลง  พระนารายณ์ก็กลับคืนร่างเดิมเป็นมหาเทพร่างมหึมา  และทำการย่างก้าวเหยียบสามขุม  โดยก้าวแรกเหยียบพิภพสวรรค์ทั้งหมด  ก้าวที่สองเหยียบแผ่นดินมนุษย์ทั้งหมด  และในขณะที่ก้าวที่สามกำลังจะเหยียบไปยังบาดาล  ท้าวพลีก็รีบก้มลงกราบขอขมา  และขอให้เหยียบก้าวที่สามลงบนศีรษะตนแทน  เพราะหากพระนารายณ์ยึดพิภพบาดาลไปอีก  ตนก็จะไม่มีที่อยู่   พระนารายณ์เห็นว่าท้าวพลีรู้จักสำนึกผิด  ซึ่งแตกต่างไปจากอสูรใจพาลตัวอื่นๆที่พระองค์เคยเจอมา  ประกอบกับสาเหตุที่ท้าวพลีมีศักดิ์เป็นหลานของพญาประหลาต  ซึ่งเป็น ๑ ในสาวกของพระองค์เอง  พระนารายณ์จึงทรงลดหย่อนโทษให้  โดยการให้ท้าวพลีไปอยู่ในบาดาลคอยรับเครื่องสังเวย พลีกรรมของมนุษย์เป็นภักษาหารจนกว่าจะหมดกรรม ส่วนพระศุกร์หรือศุกระจารยะนั้น ก็ยังคงเป็นอาจารย์ที่เคารพนับถือของเหล่าอสูร และคอยช่วยเหลืออสูรซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตนมาตราบจนทุกวันนี้

นางมณโฑ จากรามะยะณะ

           นางมณโฑเทวีเป็นนางฟ้าผู้รับใช้ใกล้ชิดของพระอุมาเทวี อดีตชาติเป็นนางกบ ที่ได้อาศัยอยู่กับพระฤๅษี ๔ องค์ที่บำเพ็ญตบะมาหลายหมื่นปี คือ อตันตา
, อธิรา, วิสูตร และ มหาโรมสิงห์ ณ เชิงเขาหิมพานต์ ทุกเช้าจะมีนางโคห้าร้อยตัวมาหยดน้ำนมลงในอ่างให้ฤๅษีดื่มกิน ฤๅษีก็จะแบ่งน้ำนมให้แก่นางกบกินด้วยทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งมีนางนาคขึ้นมาจากเมืองบาดาลด้วยความกำหนัดใคร่หาชายมาสมสู่ด้วย หาเท่าไรก็ไม่เจอผู้ชายซักคนจนไปพบงูดินเพศผู้ตัวหนึ่งจึงกลายร่างเป็นพญานาคและร่วมสมสู่กับงูดิน ฤๅษีทั้ง๔เดินมาพบก็แปลกใจเหตุใดพญานาคลดตัวต่ำมาร่วมรักกับงูดินได้ พระฤๅษีจึงเอาไม้เท้าเคาะที่กลางหลัง นางนาคตกใจและอับอายหนีหายเข้าเมืองบาดาล นางนาคคิดได้จึงคิดฆ่าพระฤๅษีเพราะกลัวว่าจะนำเรื่องของตนไปเผยแพร่ จึงได้คายพิษใส่ในอ่างน้ำนมนางกบมาเห็นจึงกินนมในอ่างจนหมดจนตนเองตาย พระฤๅษีมาเห็นจึงเพ่งตบะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงทำการชุบชีวิตและเสกนางเป็นสาวงามและตั้งชื่อว่า นางมนโฑ ซึ่งหมายถึง นางกบ และนำนางไปถวายแก่พระอิศวร พระอิศวรรับนาง และให้นางไปเป็นนางพระกำนัล ของพระอุมาเทวี พระมเหสีของตน ภายหลังได้ประทานให้แก่ทศกัณฐ์ที่สามารถชะลอเขาไกรลาศให้ตั้งตรงได้
            แต่ขณะที่ทศกัณฐ์พานางเหาะกลับกรุงลงกา เกิดผ่านเมืองขีดขินซึ่ง พาลี เป็นเจ้าเมืองอยู่ พาลีจึงได้เหาะขึ้นมาต่อสู้ยื้อแย่งนางจากทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ นางมณโฑจึงต้องตกเป็นของพาลี แม้ภายหลัง ฤาษีอังคต อาจารย์ของพาลีจะมาขอให้มอบนางคืนให้กับทศกัณฐ์ แต่นางมณโฑก็ตั้งครรภ์กับพาลีแล้ว ฤาษีอังคตจึงต้องทำพิธีผ่าท้องเอาทารกไปฝากไว้ในท้องแพะ แล้วค่อยนำนางมณโฑไปคืนให้กับทศกัณฐ์ ส่วนทารกในท้องแพะนั้น เมื่อคลอดออกมาก็ได้ชื่อว่า องคต ซึ่งมาจากฤาษีอังคตผู้ทำการผ่าตัดนั่นเอง
            เมื่อนางมณโฑกลับมาอยู่กับทศกัณฐ์ ก็ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่ง ให้กำเนิดบุตรชายชื่อ อินทรชิต จนเมื่อ ท้าวทศรถ ทำพิธีกวนข้าวทิพย์ นางมณโฑได้กลิ่นหอมก็อยากกินข้าวทิพย์นั้น ทศกัณฐ์จึงใช้ กากนาสูร ไปคาบข้าวทิพย์มาได้ครึ่งก้อน นางมณโฑกินข้าวครึ่งก้อนนั้นไปก็ตั้งครรภ์ และเกิดเป็น นางสีดา ขึ้นมา
            นางมณโฑมีความสามารถในการหุงน้ำทิพย์ ซึ่งช่วยชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ ในตอนท้ายสงครามนางมณโฑได้ทำพิธีหุงน้ำทิพย์ เพื่อชุบชีวิตพลยักษ์ แต่ หนุมาน ได้แปลงเป็นทศกัณฐ์เข้าไปสมสู่จนเสียพิธี

พระลบและพระมงกุฎ 

           
พระลบ เกิดจากฤๅษีวัชมฤควัน เมื่อครั้งที่พระรามสั่งพระลักษณ์ให้นำนางสีดาไปประหารเนื่องจากแอบวาดภาพของทศกัณฐ์ให้นางรับใช้ดู พระลักษณ์สงสารเลยปล่อยตัวไป นางกับพระมงกุฎจึงไปอาศัยอยู่กับฤๅษีวัชมฤค วันหนึ่งนางสีดาไปทรงน้ำที่ลำธารปล่อยพระมงกุฎอยู่กับพระฤๅษี ขณะนั่นฤๅษีทำสมาธิอยู่ นางกำลังทรงน้ำเห็นชะนีอุ้มลูกน้อยจึงคิดถึงลูกกลับไปนำพระมงกุฎมาทรงน้ำ ฤๅษีออกจากสมาธิไม่เห็นพระมงกุฎ จึงวาดภาพพระมงกุฎขึ้นมาแล้วเสกออกมาเป็นพระลบ พอนางสีดามาเห็น พระฤๅษีกำลังจะลบพระลบ แต่นางขอร้องไว้เพื่อให้พระลบเป็นเพื่อนเล่นกับพระมงกุฎ


ในสัญชีวชาดก

           ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ปรารภการยกย่องอสัตบุรุษของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
   ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน ในนั้นมีมานพคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะ ได้เรียนมนต์ทำคนตายให้ฟื้นคืนมาได้แต่ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน
วันหนึ่ง เขาเข้าไปหาฟืนกับเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ก็พูดกับเพื่อนๆ ว่า
     " เราจะทำเสือตายตัวนี้ ให้ฟื้นคืนมา พวกท่านจะเชื่อเราหรือไม่ " พวกเพื่อนๆไม่เชื่อและท้าว่า " ถ้าท่านมีความสามารถ ก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นมาเถิด " แล้วก็ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ไป
   ส่วนนายสัญชีวะ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนหิน ทันใดนั้นเอง เสือได้ลุกขึ้น กระโดดกัดที่ก้านคอของเขา ทำให้เขาเสียชีวิตล้มลงตรงนั้นเอง ทั้งคนและสัตว์นอนตายในที่เดียวกัน พวกมานพขนฟืนไปแล้ว บอกเรื่องนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า  " ผู้ใดยกย่องและคบหาคนชั่ว คนชั่วย่อมกระทำผู้นั้นแหละ ให้เป็นเหยื่อ เหมือนเสือโคร่งที่สัญชีวมานพทำให้ฟื้นขึ้น แล้วทำเขานั้นแล ให้เป็นเหยื่อ "

ในหลวิชัย-คาวี



           หลวิชัยและคาวี เป็นลูกเสือและลุกวัวที่สาบานเป็นพี่น้องกัน ลูกเสือกับลูกวัวจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปในป่า วันหนึ่งไปถึงอาศรมฤๅษี ฤๅษีแปลกใจมากที่สัตว์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน จึงมีจิตเมตตาชุบชีวิตลูกเสือลูกวัวให้เป็นคน และตั้งชื่อลูกเสือว่าหลวิชัย ลูกวัวชื่อคาวี หลวิชัยกับคาวีก็เรียนศิลปวิทยากับฤๅษีจนเติบโต เมื่อมีอายุพอสมควรแล้ว หลวิชัยกับคาวีก็ขอลาพระฤๅษีไปเผชิญโชค ฤๅษีให้พระขรรค์วิเศษที่บรรจุหัวใจของหลวิชัยกับคาวี

ในตำนานเทพแห่งไอยคุปต์

        เทพโอซิริส เป็นโอรสของเทพเจ้าสุริยเทพ มีคู่ครองคือไอซิส โดยโอซิลิสและเซทเป็นพี่น้องกัน ต่อมาโอซิริสได้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนท์ ส่วนเซทได้ปกครองทะเลทรายอันโดดเดี่ยว ด้วยสาเหตุนี้ทำให้เซทมีความริษยาต่อโอซิริส ในที่สุดเซทได้รวบรวมบุคคลที่มีจิตใจริษยาพยาบาทให้เข้าพวกกันเป็นจำนวนมาก และต่างพากันคิดหาอุบายขึ้นมาเพื่อฆ่าโอซิริส จนสุดท้ายก็สำเร็จ พวกเขาได้จัดการเอาพระศพของโอซิริสยัดใส่โลง แล้วเอาไปถ่วงลงในแม่น้ำไนล์ แต่ทว่าโลงพระศพกลับลอยออกไปทางปากแม่น้ำและออกสู่ทะเลจนไปเกยขึ้นที่ฝั่งฟีเนียเซียแทน ฝ่ายราชินีไอซิสผู้โศกเศร้าก็พยายามหาวิธีเพื่อติดตามหาพระศพของพระสวามี จนในที่สุดก็สามารถพบและได้ช่วยชุบชีวิตของพระองค์จนฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ เพราะความผิดพลาดที่พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะใช้กำลังรุนแรง จึงทำให้พระองค์ผิดพลาดครั้งใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากพระองค์ตัดสินใจไม่ลงโทษเซท แตกลับยังทรงปล่อยเอาไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไป ในไม่ช้า เซทก็พยายามวางแผนฆ่าพระองค์อีกครั้ง แต่คราวนี้ได้สับพระศพของพระองค์ออกเป็นส่วนๆ ถึงสิบสี่ชิ้น และคาดว่าคราวนี้คงจะไม่สามารถชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างแน่นอน จากนั้นเซทก็นำเอาชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโปรยจนทั่วอียิปต์
            เมื่อไอซิสรู้เข้า ก็เกิดความเศร้าเสียใจยิ่งนัก นางจึงพยายามที่จะติดตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีตามสถานที่ต่างๆเพื่อนำกลับมาประกอบเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง อีกทั้งยังคิดค้นเทคนิคการดองศพเพื่อที่จะชุบชีวิตของโอซิริสขึ้นมาให้ได้เป็นครั้งที่สอง
            แต่เนื่องจากคราวนี้ โอซิริสกลับได้รับการเลือกให้เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายนิรันดร์ ทำให้แม้ว่าไอซิสจะสามารถตามหาชิ้นส่วนของพระองค์จนครบ พระองค์ก็ไม่อาจคืนชีพมาปกครองอียิปต์ในรูปของมนุษย์ได้อีกต่อไปอียิปต์ในความดูแลของพระองค์จึงเหลือแต่เพียงเรื่องของการอำนวยผลแห่งความอุดมของดินและสายน้ำ ที่เป็นแหล่งก่อกำเนิดชีวิตของแม่น้ำไนล์เท่านั้น
                                                                             .............
ภาคปลาย
สัญชีวนีมนตรา มฤตสัญชีวนีมนต์ สัญชีวนี
            มนต์บทนี้มีต้นกำเนิดจากการบำเพ็ญตบะของพระศุกร์ต่อพระศิวะ แล้วพระศิวะประทานมนต์บทนี้ให้ มนต์บทนี้มีเนื้อหาใจความหลักๆว่าด้วย “กลับฟื้นคืนชีวิต” ในวรรณกรรมและปุราณะ กล่าวว่า “ทำให้ไม่ตาย”
            คำว่า “สัญ” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ฟื้น ซึ่งตรงข้ามกับ “อสัญ” แปลว่า ตาย และ “วิสัญ” แปลว่า หมดสติ สลบ
            ส่วนคำว่า ชีวะ แปลว่า ชีวิต เมื่อรวมคำจะได้ “สัญชีวนี” แปลว่า “ทำให้กลับฟื้นคืนชีวิต” และก็มีคำว่า “สัญชีวินเวชศาสตร์” แปลว่า ความรู้เวชกรรมในการทำให้ชีวิตฟื้นคืน ไม่ว่าจะเป็นเวชศาสตร์อะไรที่แพทย์ทั้งหลายได้เรียนรู้ ต้องรู้และทำได้เพื่อให้ชีวิตฟื้นคืนหรือกู้ชีพจากความตายนั้นก็เป็นสัญชีวนีโดยทั้งสิ้น
            ในที่นี่กล่าวถึงการปั้มหัวใจ หรือ CPR เมื่อคนหมดสติ และหัวใจหยุดเต้น จะเป็นช่วงเวลาเสมือนว่าตาย ต้องได้รับการกู้ชีวิตกลับมาคือทำให้หัวใจหยุดเต้นกลับมาเต้นและการเป่าลมเข้าปากจะแบบดูดดื่มหรือไม่ดูดดื่ม หรือจะสอด tube สอดท่อข่วยหายใจอะไรต่อมิอะไร เพื่อให้ออกซิเจนเข้าไปในปอด แล้วทำการกดปั้มไปที่ตำแหน่งของหัวใจตรงหน้าอก แนว nipple line ผลักขึ้นลงด้วยน้ำหนักตัวและข้อศอกอย่างพอดีเหมือนหัวใจกำลังเต้นปั้มส่งเลือดไปยังสมอง เพื่อให้เลือดส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง และทำให้หัวใจเต้นได้อีกครั้ง จะใช้เครื่องช็อตไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ automated external defibrillator หรือ AED  ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้หากพิจารณาว่าสมควรแก่การทำ CPR ย่อมสมควรตามเหตุจะช่วยให้ฟื้นคืนชีพเพิ่มขึ้นได้ และการใช้ยากระตุ้นพวก Adrenaline หรือ Epinephrine เพื่อกระตุ้นการเต้นของหัวใจก็มีส่วนช่วยให้เปอร์เข็นต์การคืนชีพเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในแนวทางการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ AHA Guidelines for CPR & ECC
            ในเรื่องราวข้างต้นเป็นการทำให้ฟื้นคืนชีพในช่วงนาทีแรกๆของการหยุดเต้นของหัวใจ ซึ่งผู้เขียนเรื่องสัญชีวนีในบทความนี้ ในขณะที่เขียนบทความผู้เขียนได้ทำการปั๊มหัวใจคนจริง ๆมาแล้ว 5 คน โดยคนแรกเป็นผู้ชายวัย 20 กลางๆ สันนิษฐานว่าพบใน 2-5 นาทีแรกของการหยุดเต้นของหัวใจ และได้ปั๊มหัวใจและเป่าลมเข้าปากแบบดูดดื่มใต้ต้นกาสะลองสุดโรแมนติกมาก(เป็นจูบแรกด้วย)จนฟื้นคืนชีพ ต่อมาก็ได้ปั๊มหัวใจชายวัยกลางคนที่เป็นลมหมดสติกะทันหันและหัวใจหยุดเต้น คราวนี้โชคดีหน่อยมีคอยช่วยผายปอดให้แทน ซึ่งคนนี้ก็หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง ส่วนคนที่สามเป็นผู้หยิงวัย 60 กว่าๆ หัวใจหยุดเต้นมาแล้วกว่า 15 นาที แต่มีการปั๊มหัวใจมาตลอดทาง ทั้งได้รับ Adrenaline และกระตุ้น AED ร่วมกับการปั๊มหัวใจโดยผู้เขียนแล้วหัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง ผู้เขียนได้ทำ CPR สำเร็จมา 3 คน แต่อีกสองคนเป็นผู้หญิงวัย 70 กว่าๆ ที่ถูกรถชน กับ 80 กว่าๆ ที่หกล้มหมดสติ สองคนนี้ได้รับการปั๊มหัวใจและ Adrenaline แต่ก็ไม่อาจกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง นี้เป็นประสบการณ์ของผู้เขียนเอง และมีอีกหลายคนที่ผู้เขียนได้พบแต่ไม่อาจเข้าไปช่วยปั๊มหัวใจให้ได้เนื่องด้วยสถานะของตัวผู้เขียนเอง ที่ถูกกันทางหรือห้ามเข้าไปช่วยก็แล้วแต่
            ส่วนอีกประการหนึ่งที่เรียกว่า ไครโอนิกส์ (Cryonics) การแช่แข็งเพื่อรอวันกลับฟื้นคืนชีพ เป็นการเก็บรักษาสภาพศพในระยะเสมือนตายไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำมาก ๆจนเนื้อเยื่อและอวัยวะหยุดการเปลี่ยนแปลงยุติการแปรสภาพ หยุดเสื่อมสภาพเรียกง่ายๆว่าหยุดการตาย ด้วยไนโตรเจนเหลวแล้วรอวันที่โลกมีวิทยาการที่ก้าวหน้ามากพอที่จะคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งและสามารถรักษาเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆให้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง ซึ่งเปรียบเทียบได้กับภาวะกบจำศีล ของกบภูเขาในเขตเยือกแข็งที่ถูกแช่แข็งจนหัวใจหยุดเต้นในฤดูหนาวแล้วหัวใจกลับมาเต้นได้ให้อีกครั้งในช่วงฤดูร้อนเมื่อน้ำแข็งละลาย
            นอกจากนี้ยังมีการ cloning ซึ่งเป็นการคัดลอกมนุษย์ขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับต้นฉบับคนเดิม ทำสำเนาอวัยวะให้ขึ้นมาให้เหมือนกับอวัยวะเดิมทุกประการ หรือดัดแปลงอวัยวะใหม่ให้ดีกว่าจากอวัยวะเดิม  
            ทั้งโปรแจ็คลับของที่ต่างๆที่มีมาตั้งแต่อดีตโดยการพยายามทำให้คนตายแล้วกลับมามีชีวิต การช็อตไฟฟ้าใส่ศพ การนำไฟฟ้าจากสายฟ้ามาช็อตศพ การนำยาประเภทต่างๆมาใช้กับศพเพื่อให้ฟื้นคืนชีพ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแล้วมีการศึกษาพัฒนามาเรื่อย ๆถึงปัจจุบัน ทั้งที่รู้หรือไม่รู้ ทั้งที่ห้ามหรือไม่ห้าม แต่ที่ใดมีความกลัวความตายย่อมมีการศึกษาศาสตร์แขนงนี้อยู่ต่อไป
            ต่อไปจะเข้าสู่เนื้อหาส่วน “สัญชีวนี” มีคนมากมายพยายามศึกษาศาสตร์แขนงนี้ไว้มาก โดยหนึ่งในนั้นก็ตัวผู้เขียนเอง ความรู้เหล่านี้ได้มาจากวรรณกรรมและจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนมากมายจนตกผลึกเป็นความรู้และความจริงของชีวิตที่ผู้เขียนได้ตระหนักและเข้าใจเอง ภายในบทความนี้จะไม่มีคาถาหรือมนตราใดที่ไม่สามารถเขียนลงไปได้ แต่ก็พอเป็นแนวทางให้ผู้สนใจสามารถนำไปต่อยอดเพื่อให้เข้าถึงศาสตร์เหล่านั้นได้

สัญชีวนียศาสตร์ สัญชีวนีวิทยา
            ศาสตร์แขนงนี้ถูกท้ายทอดมาโดยพระศิวะมหาเทพในศาสนาพราหมณ์ฮินดู มอบไว้แก่ ศุกราจาย์  เพื่อใช้ในชุบชีพผู้ที่ตายไปแล้วให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง
แบ่งเป็น 5 ศาสตร์อย่างกว้างดังนี้
                                น้ำทิพย์อมฤตล้วน     กลับคืน
สมุนไพรวิเศษฟื้น      ชีพได้
สัญชีวนีมนต์ตื่น     คืนจาก ความตาย
ถอดจิตสถิตร่างได้  ย้ายกายตามประสงค์

1. น้ำทิพย์ หรือ น้ำอมฤต
2. ยาวิเศษ หรือ สมุนไพร
3. สัญชีวนีมนต์ มฤตสัญชีวนีมนตรา (คาถาอมฤต)
4. สถิตร่าง หรือ ย้ายร่าง
5. ถอดวิญญาณ (ถอดหัวใจ)

อุปกรณ์หรือวัสดุสร้างร่าง
1. ธาตุทั้ง 5 ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
2
. ธาตุธรรมชาติ ประกอบด้วย ไม้ เหล็ก
3. ธาตุอมฤต หรือที่รู้จักกันในนาม “ศิลานักปราชญ์” หินชุบชีวิต เลือดนางเงือก
เมื่อแบ่งศาสตร์ได้ แขนงใหญ่ ย่อมมีวัตถุดิบ ในที่นี้ของเรียกว่า ร่างต้น มาจาก “ร่างต้นกำเนิด” โดยพิจารณาร่างกายที่ไร้ชีวิตเป็นระยะต่างทั้งในอสุภ 10 ระยะ หรือมากกว่านั้น

อสุภ 10 ระยะ
1
อุทธุมาตกะ ซากศพทีพองขึ้นอืด
2.วินีลกะ ซากศพที่เขียวคล้ำ มีสีแดง เขียว ขาว ปะปนกันไปตามสภาพ
3.วิปุพพกะ ซากศพที่มีน้ำเหลือง น้ำหนองไหลเยิ้ม
4.วิจฉิททกะ ซากศพที่ขาดกลางตัว
5.วิกขายิตกะ ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกิน เว้าแหว่ง
6.วิกขิตตกะ ซากศพที่มีมือ เท้า ศีรษะขาดหายไป
7.หตวิกขิตตกะ ซากศพที่ถูกบั่นเป็นท่อนๆ นำมาวางใกล้ๆกัน (ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว )
8.โลหิตกะ ซากศพที่ถูกประหารมีเลือดไหลนอง
9.ปุฬุวกะ ซากศพที่เน่าเฟะคลาคล่ำด้วยตัวหนอน
10.อัฏฐิกะ ซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูก

นอกจากนั้นแบ่งได้โดยละเอียดดังนี้

ระดับมีชีวิต
1.สิ่งมีชีวิตเป็นๆ มนุษย์เป็นๆที่ยังมีลมหายใจและหัวใจเต้นที่ยังรู้สึกตัว (ตื่นตัว)
2.สิ่งมีชีวิตเป็นๆ มนุษย์เป็นๆที่ยังมีลมหายใจและหัวใจเต้นที่กึ่งรู้สึกตัว (กึ่งหลับกึ่งตื่น ละเมอ ถูกบังคับให้หลับแต่ไม่หลับ หลับไม่สนิท)
3.สิ่งมีชีวิตเป็นๆ มนุษย์เป็นๆที่ยังมีลมหายใจและหัวใจเต้นที่ไม่รู้สึกตัว (สภาพนิทรา หลับใหล หลับสนิท หมดสติ สลบ)

ระดับไม่มีชีวิต
4.ร่างกายที่หัวใจพึ่งหยุดเต้น ในกรณีอวัยวะครบและไม่ถูกทำลายไม่มีการสูญเสียใดๆต่อส่วนใดส่วนหนึ่ง
5.ร่างกายที่หัวใจพึ่งหยุดเต้น ในกรณีอวัยวะไม่สำคัญสูญหายหรือสูญเสีย
6.ร่างกายที่หัวใจพึ่งหยุดเต้น ในกรณีอวัยวะสำคัญต่อการมีชีวิตสูญเสีย
7.ร่างกายที่หัวใจหยุดเต้นเกิน 10 นาที
8
.ร่างกายที่หัวใจหยุดเต้นเกิน 45 นาที
9
.ร่างกายที่หัวใจหยุดเต้นเกิน 1 วัน
10
.ศพนาน 3 วัน
11
.ศพนาน 7 วัน
12
.ศพนาน 10 วัน
13
.ซากศพ 1 เดือน
14
.ซากศพที่ถูกแมลงหนอนหรือนกกาแร้งกิน
15.ซากศพที่มีแต่ร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือดติดอยู่ ยังมีเอ็นร้อยรัด
16.ซากศพที่ไม่มีเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเอ็นร้อยรัด
17.ซากศพที่ไม่มีเนื้อและเลือดติดอยู่ แต่ยังมีเอ็นร้อยรัด
18.กระดูกที่ไม่มีเส้นเอ็นร้อยรัด
19.กระดูกขาวดังสีสังข์
20.กระดูกที่ค้างปีหรือหลายปี
21.กระดูกผุแหลกเป็นผุยผง

ความยากง่ายของวิชาและจำหลักจำความต่อการสำเร็จจะขึ้นอยู่กับสภาพของร่างต้น ถ้าวัตถุดิบที่ดีสมบูรณ์ย่อมง่ายแก่การทำให้ฟื้นคืนชีพ กล่าวคือ “ตายเร็วฟื้นเร็ว ตายนานฟื้นยาก” โดยจะเลือกร่างต้นกับแขนงศาสตร์ทั้ง
5

-สัญชีวนีมนต์ มฤตสัญชีวนีมนตรา คาถาอมฤต
              สามารถใช้ได้กับร่างต้นทุกระยะ อาศัยความสมบูรณ์ของธาตุทั้ง
5 หากขาดธาตุใดให้ใส่ธาตุนั้นลงไปเพื่อประกอบให้เป็นร่างโดยสมบูรณ์ อาศัยผู้มีพลังมหาศาลในการประกอบและทำให้พื้นคืนชีพ บ้างก็แค่เป่าลมเข้าปาก บ้างก็แค่ตบไหล่เบาๆ บ้างก็แค่เรียกชื่อเบาๆดังๆ บ้างก็แค่สัมผัสที่ร่าง ทั้งหมดนี้หากร่ายมนต์วิเศษแล้วก็กลับฟื้นคืนชีพ บางคนแค่เสกก้อนหินแล้วโยนก้อนหินใส่ หรือเสกน้ำแล้วตักน้ำราดก็ฟื้นจากความตายแล้ว
            สัญชีวนีมนต์เป็นมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ แม้นผู้เป็นอมตะไม่มีวันตายที่ไม่ได้ทรงมนต์บทนี้ยังเกรงกลัวในมนต์บทนี้ มนต์แห่งชีวิตและจิตวิญญาณ ยิ่งกว่าฌานอันวิเศษที่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงอยู่ได้เป็นร้อยปีพันปี ผู้ที่ล่วงรู้ในมนต์นี้จะดำรงอยู่ด้วยมนต์นี้และสามารถชุบชีวิตผู้อื่นได้ตามกำลังของตนโดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับความชำนาญและความเชี่ยวชาญของผู้ใช้สัญชีวนีมนตรา คาถาชุบชีวิต

-น้ำทิพย์ หรือ น้ำอมฤต

            ใช้ได้กับร่างกายทุกระยะที่ไม่มีชีวิต แต่ถ้ายังมีชีวิตจะทำให้รู้สึกสดชื่น ร่างกายแข็งแรงหายจากโรคภัยไข้เจ็บ น้ำทิพย์และน้ำอมฤตได้จากการกวนเกษียณสมุมร น้ำจากแจกันวิเศษของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ได้จากการบ่นท่องเวทย์มนต์คาถาวิเศษที่นอกเหนือจากสัญชีวนีมนต์เป่าลงในน้ำ ได้จากบำเพ็ญเพียรทางจิตและอธิษฐานบรรจุลงในน้ำ ได้จากบ่อน้ำทิพย์บนสวรรค์และบนโลก ได้จากจอกแห่งชีวิต ได้จากถ้วยแห่งชีวิต
วิธีใช้ ประพรมลงบนร่างต้นที่ตายไปแล้ว ทำให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
*มีวิญญาณสถิต และไม่มีวิญญาณสถิตคือผลข้างเคียงของน้ำทิพย์หรือน้ำอมฤต
            ร่างต้นที่มีวิญญาณของเจ้าของร่างกลับมา จะมีชีวิตแบบดั้งเดิมเช่นก่อนตาย หรืออาจจะมีวิญญาณอื่น ๆ ที่เร่ร่อนเข้ามาสิงแทน แต่ถ้าไม่มีวิญญาณเข้ามาสถิตร่าง สิ่งที่ฟื้นขึ้นมานั้นก็จะเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณที่เดินได้แบบผีดิบหรือซอมบี้นั้นเอง

-ยาวิเศษและสมุนไพร

ตำหรับสังกรณี-ตรีชวา  ประกอบด้วย ต้นยาสี่วิสุทธิ์
            ต้นยา ต้นที่ ๑ วิศัลยกรณี
สรรพคุณด้านการถอนอาวุธและขับพิษที่ตกค้างแทรกซึมอยู่ในร่างกาย
            ต้นยา ต้นที่ ๒ มฤตสัญชีวนี – สรรพคุณด้านการทำชีวิตให้กลับฟื้น
            ต้นยา ต้นที่ ๓ สันธยาณี
สรรพคุณด้านการเยียวยาบาดแผลให้หายสนิท
(สามต้นแรกนี้ เรียกว่า ตรีชวา เพราะ ตรี-สาม ตรีชวา คือ คำเรียกกลุ่มสมุนไพร ๓ ชนิด)
            ต้นยา ต้นที่ ๔ สวรรณกรณี(สังกรณี)
- แปลว่า สมุนไพรที่ทำให้ผิวราบเรียบเสมอกัน – สรรพคุณด้านการรักษาบำรุงผิวพรรณให้แช่มชื่นคืน
            สมุนไพรทั้งสี่นี้ มีลักษณะเป็นรากไม้ อายุยืน ลักษณะคล้ายมนุษย์ รากเหมือนต้นโสมคน สามารถเคลื่อนที่ได้ สามารถร้องส่งเสียงได้เหมือนต้นแมนแดรก มีเสียงเฉพาะตัว สามารถร้องเพลงได้ ประสานเสียงได้ หรือกรีดร้องได้ แต่คุณสมบัติของเสียงที่เกิดขึ้นจะตรงข้ามกับเสียงกรีดร้องของแมนแดรกที่ทำให้คนเสียสติ คือเสียงของมันจะทำให้คนมีสติกลับมามีสติ วิธีหาคือ เรียกชื่อแล้วจะขาลรับแล้วจึงเคลื่อนที่นี้บ้างก็ดำดินผลุดโผล่ บ้างก็วิ่งไตร่ไปมา แต่ผู้มีคุณวิเศษหรือผู้ที่ถูกสมุนไพรเหลานั้นเรียกหาสามารถได้ยินเสียงของสมุนไพรหรือสามารถค้นหาสมุนไพรนั้นโดยง่ายดาย ง่ายจนชนิดที่ว่ามันเดินมาหาเองถึงที่เลย นำมาปรุงเป็นยาใช้กลับร่างคนเป็นหรือคนตายใหม่ๆ

-สถิตร่าง ย้ายร่าง

            เป็นศาสตร์ต้องห้ามของผู้ได้สัญชีวนีแขนงศาสตร์นี้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นศาสตร์ต้องห้ามโดยปริยาย หากจะกระทำโดยไม่ผิดจรรยาบรรณ ก็กระทำในศพที่ตายแล้วโดยสมบูรณ์ (เลือกที่อายุสมควรหนุ่มสาวแรกรุ่น ตายโดยธรรมชาติ อวัยวะครบถ้วน) ถ้าใช้สัญชีวนีแขนงอื่นชุบชีวิตให้เขากลับคืนมาก็จะดีมาก แต่ถ้าประสงค์จะใช้เพื่อย้ายร่างตัวเองเข้าไปอยู่ในร่างนั้น ย้ายคนอื่นเข้าไปอยู่ในร่างนั้น ก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ แต่สามารถกระทำได้

            ผู้สำเร็จการย้ายร่าง หากมีพลังมหาศาลสามารถย้ายร่างตนเองเข้าไปอยู่ในร่างคนอื่นได้ โดยไม่ยาก แทรกซึมเข้าไป สิงสถิตเข้าไป จะไล่เจ้าของร่างออก หรือจะแค่ให้เจ้าของร่างหลับไป แต่หากแค่ให้เจ้าของล่างหลับไป เจ้าของร่างย่อมสามารถตื่นกลับขึ้นมาได้ด้วยพลังของตนเองในสักวันหนึ่ง
คำเตือน : ศาสตร์นี้สามารถขโมยร่างต้นได้ในระดับที่มีชีวิต 3 ระดับ คือ รู้สึกตัว กึ่งรู้สึกตัว และไม่รู้สึกตัว โดยระดับรู้สึกตัวจะใช้พลังมหาศาลในการดึงวิญญาณของเจ้าของร่างออกแล้วเข้าไปสิงสู่อยู่แทน หรือทำได้ด้วยการใช้วิญญาณตนเองหรือคนอื่นผลักเข้าไปไล่วิญญาณของเจ้าของร่างออก ศาสตร์แขนงนี้ใช้ไม่ได้ผลกับจิตของผู้ถูกกระทำที่มีพลังแข็งแกร่งพอที่จะต้านพลังของผู้กระทำได้

-ถอดวิญญาณ 
       ศาสตร์นี้ถูกคิดค้นขึ้นมาจากการเรียนแบบการแบ่งภาคของเทพเจ้าชั้นสูงๆ ที่สามารถแบ่งจิตวิญญาณของพระองค์เองออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยกำเนิดเป็นร่างอวตาร เมื่อผู้คนทรงภูมิปัญญาบางท่านคิดการที่คล้ายกันคือจะแบ่งภาคออกเป็นส่วน ๆ เพื่อป้องกันมิให้ตนตายได้หรือไม่? จึงกำเนิดเป็นศาสตร์นี้ขึ้นมา แต่ผู้ที่กระทำสำเร็จหลาย ๆ ท่านก็ตระหนักได้ว่า การแบ่งภาคนั้นมิใช่แบบเดียวกับที่เทพเจ้ากระทำ เป็นการเลียนแบบและได้เดินทางผิด ค้นพบสิ่งที่ไม่ควรจะกระทำ พบหนทางที่ผิดโดยบังเอิญ จึงได้กล่าวว่าแขนงนี้เป็นศาสตร์ต้องห้าม และเลวร้ายกับตัวเองมากที่สุด ถอดวิญญาณในที่นี่ไม่ใช่การถอดจิตเพื่อไปเที่ยวเล่นหรือสิงสู่อยู่ที่ไหน แต่เป็นการแบ่งภาคของวิญญาณตัวเองออกเป็นส่วนๆแล้วเอาไปเก็บไว้ในที่ต่างๆ เผื่อว่าส่วนหนึ่งตายไปอีกส่วนก็จะทำหน้าที่ของมันให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ หรือเก็บวิญญาณส่วนสำคัญไว้ แม้จะฆ่าหรือทำลายวิญญาณส่วนที่ใช้อยู่ก็ไม่อาจทำให้ตายได้
            การใช้ศาสตร์นี้ยิ่งแยกจำนวนวิญญาณมากเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนจะน้อยลงเท่านั้น การศึกษาและเรียนรู้ก็กระทำด้วยการพลีกรรม คือฆ่า ฆ่า และฆ่า เพื่อเรียนรู้วิธีตัดฉีกวิญญาณเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะตัดฉีกวิญญาณตัวเอง เพื่อแบ่งภาคซ่อนไว้ในที่ต่างๆ กรรมวิธีการฆ่า มิใช่ฆ่าด้วยการกระทำทางร่างกาย แต่กระทำด้วยเวทย์มนต์คาถา ค่อยๆกระชากวิญญาณออกมาแต่น้อยแล้วตัดทิ้งทีละน้อยจนวิญญาณหมดร่างเหยื่อ การกระทำเช่นนี้จะไม่รุนแรงหาทำกับแมลง เพราะอายุสั้นและมีวิญญาณหรือพลังชีวิตน้อยนิดจึงไม่ทารุณมากนัก ผู้มีจริยธรรมเกร่งกล้ามักใช้วิญญาณตัวเองเป็นหนูทดลอง ตัดส่วนวิญญาณตัวเองออก และก็สร้างเสริมเติมแต่งให้กลับมาเต็มเหมือนเดิมทำแบบนี้จนชำนาญแล้วจึงแบ่งภาคตัวเองได้สำเร็จ แต่หากเลือกใช้สัตว์มาทำการทดลอง ก็จะเริ่มจากหนู งู ไก่ นก และเต่ากาลาปะกอสที่มีอายุยืนได้เป็นพันปี มีคนเคยทดลองกับปลาวาฬและช้างด้วย
            แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ชั่วร้าย ใช้มนุษย์เป็นสัตว์ทดลองใช้คนเป็นๆ ค่อยๆฆ่าพวกเขาเหล่านั้นทิ้งไปทีละคน จนชำนาญ 
            เมื่อร่างต้นกำเนิดแรกตายไป เศษส่วนวิญญาณในอันดับแรกจะเริ่มทำงานเพื่อรักษาชีวิตของร่างต้นกำเนิดไว้ โดยจะทำงานเข้าครอบงำมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเพื่อขวนขวยมาซึ่งร่างกาย ที่ประกอบด้วยธาตุและอวัยวะต่างๆ เพื่อเป็นที่อยู่ของเศษส่วนของวิญญาณนั้นในรู้แบบต่างๆ จนคืนชีพโดยสมบูรณ์ แต่หากร่างนั้นตายไปอีก เศษส่วนของวิญญาณดวงต่อ ๆ ไปก็จะทำงานไปเรื่อย ๆ จนกว่า เศษส่วนของดวงวิญญาณชิ้นสุดท้ายจะตายไปจึงตายโดยสมบูรณ์
            หรือการถอดวิญญาณประเภทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันว่า “ถอดหัวใจ ถอดกล่องดวงใจ” เป็นการฉีกนำส่วนวิญญาณที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตหรือสติปัญญาไว้ในสิ่งหนึ่งแยกออกมาจากร่างกาย โดยที่ร่างกายนั้นยังมีส่วนของวิญญาณให้เพียงพอที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ดำรงอยู่ได้ดุจปกติประจำวัน แม้ว่าร่างกายนั้นจะถูกทำลาย ส่วนของวิญญาณในร่างกายนั้นจะแหลกสลาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ตายได้ เพราะส่วนของวิญญาณที่สำคัญที่สุดถูกแยกไปเก็บรักษาไว้ในที่ ๆ ปลอดภัย  ต้องทำลายวิญญาณส่วนสำคัญนั้นทิ้งไปก่อนแล้วจึงจะฆ่าได้โดยสำเร็จ
            การถอดวิญญาณเป็นที่นิยมให้หมู่ที่ชอบของแปลกแหวกแนวพิสดาร รสนิยมประหลาดทำให้พวกเขาฉีกวิญญาณตัวเองเป็นชิ้นซ่อนไว้ในที่ต่างๆ ฝากไว้กับคนนั้นบ้างคนนี้บ้างตามอัธยาศรัย
วิธีอื่นๆ

-  ศิลานักปราชญ์ หรืออัญมณี จินดามณี 

      สสาร เป็นได้ทั้งของแข็งและของเหลว สสารทางเวทย์มนต์ที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุรวมด้วย มักมีสีขาวดั่งเงิน สีใสดั่งเพชร ส้มดั่งหญ้าฝรั่น สีเหลืองใสดั่งทอง สีดวงเข้มดั่งอเมติส และสีแดงดั่งโลหิต  แต่ละสีของศิลานักปราชญ์จะมีคุณสมบัติที่คล้ายกันคือชุบชีวิต แต่ก็มีคุณสมบัติต่างกันดังนี้
1. สีขาวดั่งเงิน - ใช้เปลี่ยนโลหะใดๆ ให้กลายเป็นเงินบริสุทธิ์
2. สีเหลืองใสดั่งทอง - ใช้เปลี่ยนโลหะใดๆ ให้กลายเป็นทองคำบริสุทธิ์
3. สีส้มดั่งหญ้าฝรั่น - ใช้เปลี่ยนโหละใดๆ ให้กลายเป็นโลหะที่ต้องการ
4. สีใสดั่งเพชร – ใช้สารหนึ่งให้กลายเป็นอีกสารหนึ่ง ให้พลังงานมหาศาล
5.สีดวงเข้มดั่งอเมติส  - ใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำยาอายุวัฒนะไม่มีวันตาย
6.สีแดงดั่งโลหิต  - ใช้เพื่อให้มีชีวิตเป็นอมตะไม่มีวันตาย

- เลือดนางเงือก

            เลือดของนางเงือกบางสายพันธุ์ ในเอเชียตะวันออก เมื่อดื่มแล้วจะทำให้เป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่จะถูกพันธะสัญญาเลือด เป็นพันธนาการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เมื่อนางเงือกที่ให้เลือดตนนั้นตาย ผู้ที่ดื่มเลือดนางเงือกก็จะสิ้นอายุขัยไปด้วยเช่นกัน
                                             ...................................................................
อวสานบท

            สัญชีวนี ยังมีแขนงอื่นๆที่เกิดขึ้นมาในภายหลังแยกย่อยได้อีกจาก 5 แขนงเดิม ใช้หลายศาสตร์รวมกันผสมผสานศาสตร์นั้นกับศาสตร์นี้ จนกลายเป็นแขนงใหม่ๆ มีการพัฒนาเพิ่มเติมตามการเวลาที่ผ่านไป และจงจำไว้ว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา” ไม่มีใครจะก้าวพ้นความตายหรือดับสลายไปได้ แม้จักวาลนี้ เอกภพนี้เกิดมาแล้วย่อมมีวันที่จะแตกดับไปไม่ว่าในวันใดก็วันหนึ่ง

                                                                                                                            ๙ มหาเวทย์