แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุนไพร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สมุนไพร แสดงบทความทั้งหมด

ว่านหางช้าง แก้คุณไสย์ทั้ง 4

ว่านหางช้าง แก้คุณไสย์ทั้ง 4


            ว่านหางช้าง ชนิดนี้ไม่ใช่ ว่านเพชรหึง อย่าสับสนหรือเข้าใจผิดว่า ว่านเพชรหึงคือว่านหางช้าง ซึ่งว่านหางช้างนี้ภาคเหนือเราเรียกว่า ว่านมีดยับ แปลว่า กรรไกร  การถูกคุณไสย์ทั้ง 4 คือ จะเกิดแต่ลมเพลมพัด หรือ จะถูกกระทำด้วยคุณไสย์ แล้วกระทำด้วยทางผิวหนัง ๑ , ทางเส้นผม ๑ , ทางเนื้อ ๑ , ทางกระดูก ๑
            การปลูกว่านหางช้างไว้หน้าบ้าน หลังบ้านหรือทิศลมพัด เป็นมหาคุณ เมื่อลมกระทบแก่ว่านหางช้างจะโบกพัด ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายทั้งคุณไสย์นานา ที่ลอยมากลางอากาศ หากลมพัดลมเพเอาของสกปรกที่ผู้มีวิชาปล่อยทิ้ง ลอยมาตามลม กระทบว่านหางช้างแล้ว คุณไสย์จะถูกถอนสิ้นฤทธิ์ในทันที อีกทั้งหากหญิงมีท้องตั้งครรภ์ให้นำใบว่านหางช้าง พัดปัดโบกที่ท้องจะเกิดเป็นสิริมงคลทำให้คลอดลูกง่าย
คาถากำกับว่านหางช้างมีอยู่ว่า
ปะถะมัง พินธุกัง                     ทุติยัง ทัณฑะเม เอวะ
ตะติยัง เภทะกัญ เจวะ              จะตุถัง อนัคคะ สัมพะวัง
ปัญจะมัง สิริสังชาตัง               นะแก้อาถรรพ์ การโรโหติ สัมพาโว
จงบังเกิดเป็นนะแก้อาถรรพ์ด้วย พุทธานุภาเวนะ
ธรรมานุภาเวนะ                      สังฆานุภาเวนะ           
อิติสิทธิ พุทธังสมาธิ                อิติสิทธิ ธัมมังสมาธิ
อิติสิทธิ สังฆังสมาธิ                อิติสิทธิ สุตังสมาธิ
อิติสิทธิ ปาระมิตตาสมาธิ       อิติสิทธิ มังรักขันตุสมาธิ ฯ
            ท่านให้ปรุงน้ำมนต์ด้วยว่านหางช้าง คือ ดอก ๑ , ใบ ๑, ต้น ๑ , ราก ๑ , ผลและเมล็ด ๑ ตั้งนะโม 3 จบ แล้วสวดคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ นะปถมัง ใช้ใบคนเป่าน้ำมนต์ ประพรมและพัดปัดโบก ผู้ถูกคุณใสย์ ไล่เสนียดจัญไรในสถานที่ต่างๆ 


ราก แก้คุณอันถูกบุคคลกระทำทางผิวหนัง
            ใช้ราก เหง้าของว่านหางช้าง รากแห้งต้มกับน้ำผสมเกลือ ทาผิวหนัง หรือนำมาต้มเป็นน้ำดื่มทั้งยังมีสรรพคุณแก้เจ็บคอ และแก้ไข้ เมื่อต้มรากเหง้าว่านหางช้างให้บริกรรมคาถานี้ 3 จบ และใช้น้ำมนต์ข้างต้นประพรม


ดอก แก้คุณอันถูกบุคคลกระทำทางเส้นผม ดอก
            ใช้ดอก บดละเอียดสระดำเกล้า แก้คุณไสย์กระทำทางเส้นผม หรือนำมาต้มน้ำดื่ม เมื่อบดดอกว่านหางช้างให้บริกรรมคาถานี้ 3 จบ และใช้น้ำมนต์ข้างต้นประพรม


 ใบ แก้คุณอันถูกบุคคลกระทำทางเนื้อ ใบ
            ใช้ใบพัดโบกไปตามเนื้อ กล้ามเนื้อ แก้คุณไสย์กระทำถูกเนื้อได้ และเป็นสิริมงคลอีกด้วย ใช้ใบ 3 ใบ ต้มเป็นน้ำดื่ม ทั้งยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย เมื่อจ้มใบหางช้างหรือเสกใบก่อนพัดโปกให้บริกรรมคาถานี้ 3 จบ และใช้น้ำมนต์ข้างต้นประพรม



ต้น แก้คุณอันถูกบุคคลกระทำทางกระดูก
            ใช้เนื้อในลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้คุณไสย์กระทำถูกกระดูก ทั้งยังมีสรรพคุณเป็นธาตุบำรุง เมื่อต้มเนื้อในลำต้นว่านหางช้างให้บริกรรมคาถานี้ 3 จบ และใช้น้ำมนต์ข้างต้นประพรม

                                                  จบว่านหางช้างแต่เพียงเท่านี้

ชุดที่ ๑ ยาถอนพิษคุณไสย์ (เห็ดหำพระ ย่านางแดง รางจืด)

เห็ดหำพระ



            เห็ดหำฟาน เห็ดขลำหมา หรือเห็ดหำพระ ภาษาเขมรเรียกว่า "ประเสริฐพวงกระดอโลก" เห็ดหำพระนี้มีลักษณะดอกเห็ดรูปกลมหรือค่อนข้างกลม ไม่มีครีบไม่มีโคนขา มีสีเหลือง เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-3 ซม.  ดอกเห็ดทั้งอ่อนและแก่มีลักษณะนิ่มยืดหยุ่นคล้ายยางลบ ลักษณะข้างในเป็นเนื้อเหนียวๆ ไม่มีพิษ กินได้แบบสดๆ หากเป็นพิษคุณไสย์แบบสดๆให้กินแบบสดๆจะเห็นผลเร็วมาก แต่หากไม่สามารถหามากินแบบสดๆได้ก็ตากให้แห้งแล้วบดเป็นผงจะเป็นผงยาสีน้ำตาลเหลือง ใช้น้ำพระพุทธมนต์และน้ำผึ่งผสมเล็กน้อยปั้นเป็นลูกกลอนเก็บไว้ หรือเก็บแบบยาผงใช่ชงกับน้ำพระพุทธมนต์กินได้ หรือนำผงเห็ดมาอัดเป็นแท่งอัดเป็นพระผงไว้ใช้บดฝนผสมน้ำพระพุทธมนต์กินได้ เห็นนี้หากอายุน้อยหรือเห็ดอ่อนจะสีเหลืองสด ผ่าดูจะเป็นสีเหลืองสดใช้ระยะนี้ปรุงยาจะมีคุณภาพมาก ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่องตากแห้ง แต่หากเห็ดอายุมากใกล้จะปล่อยสปอต์มันจะหดตัว ผ่าดูข้างในจะเป็นสีน้ำตาลระยะนี้หากนำมาทำยาจะมีคุณภาพดีไม่เท่าที่ควร แต่ก็สามารถใช้ถอนคุณไสย์ได้
            ไม่มีข้อมูลสนับสนุนด้านพิษวิทยาและด้านการแพทย์ ไม่มีฐานข้อมูลยารักษาโรคในเภสัจวัตถุ เป็นเพียงความรู้ที่สืบต่อตกทอดกันมาในสายเขมร ใครใคร่ทราบก็ไปศึกษากันเอาเอง ตามตำราโบราณกล่าวว่าเห็ดนี้ไม่มีสารต้านพิษหรือถอนพิษได้ สรรพคุณเป็นสิ่งพิเศษว่ามันสามารถรักษาคุณไสย์อันเกิดแต่ของสกปรกได้
            การใช้เห็ดต้องดูให้ดีดูให้เป็นยาเอาเห็ดไข่นก ไข่กาไข่ห่านหรือเห็ดถอบมาปรุงจะทำให้พิษกำเริบหนักขึ้นกว่าเดิมและไม่ควรเก็บยาผงเห็ดยาลูกกลอนเห็ดเกิน 1 ปี จะทำให้ฤทธิ์เดชเสื่อม อีกทั้งอาจจะมีก่อให้เกิดพิษชนิดอื่นขึ้นมาแทน


ย่านางแดง ราชินีถอนพิษแห่งป่า



            ย่านางแดงเป็นสมุนไพรถอนพิษมีหลักฐานทางเภสัชกรรมแล้วว่ามีฤทธิ์์ในการถอนพิษโลหะหนักโดยเฉพาะยาฆ่าแมลง การใช้ย่านางแดงถอนพิษเป็นยาถอนพิษแถบเขมรส่วย หรือชายแดนไทยเขมร หรือภาคอีสานนิยมใช้เพราะหาง่ายมาก แถมสังเกตุง่ายเนื่องจากคล้ายกับย่านางขาวทุกประการและยังมีฤทธิ์แรงกว่าย่านางขาว แต่มีสีแดงและดอกสวยงามเหมาะแก่การปลูกไว้ประดับบ้านเรือน ชาวบ้านใช้ถอนพิษยาเบื่อ ยาเมา ยาสั่ง ยาพิษสำแดง โดยการใช้ราก เถาสดหรือแห้ง ต้มกับน้ำพระพุทธมนต์ หรือใช้เถาแห้งฝนกับน้ำพระพุทธมนต์ หรือใช้ฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วกำกับด้วยคาถาถอนโบสถ "สะมุหะเนยยะ สะมุหะคะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง พัทธะ เสมายัง สะมุหะนิตัพโพ เอวัง เอหิ นะเคลื่อน โมคลอน พุทถอน ธาเลื่อน ยะเลื่อนหลุดลอย" แล้วนำมาให้ผู้ถูกพิษคุณไสย์ที่ถูกวางยาฆ่าแมลง โดยอนึ่งในอาหารว่าตรวจสอบอย่างไรให้นำข้าวสารหรือเข้าสุกท่องคาถาเปิดโลก "นะเปิด โมเปิด พุทเปิด ธาเปิด ยะเปิด เปิดโลกด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ" เน้นหนังที่ ยะธาพุทโมนะ เป็นการท่องกลับหลัง เป่าไปที่ข้าวสารข้าวสวยแล้วโยนใส่อาหารจะเดือดเป็นสีดำ นั่นแปลว่าโดนคุณไสย์ยาฆ่าแมลง เดือดเป็นสีแดงโดยคุณไสย์ยาฆ่าหญ้า เดือดเป็นไอโดนคุณไสย์เห็ดพิษ ไม่เดือดไม่อะไรมีพิษแต่ไม่มีคุณไสย์ หากพบว่าถูกพิษก็เอาน้ำย่านางแดงให้ดื่มแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล หากว่าหมอแผนปัจจุบันช่วยไม่ได้ คงต้องกลับมาดื่มน้ำย่านางแดง พร้อมเจริญเมตตาใหญ่ หากท่องไม่ไหว ระลึกบทสั้นๆว่า "นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ " แปลว่า ไฟ ยาพิษ หรือศาสตราย่อมไม่กล้ำกรายได้ หากมียังบุญย่อมรอดตายจากคุณไสยยาพิษนี้


รางจืด ราชาแห่งยาถอนพิษ

            รางจืด อยู่คู่กับคนภาคเหนือมานาน เรียกอีกอย่างว่า เครือน้ำแหน่ คงเข้าใจกันดีในชื่อ กำลังช้างเผือก ในวงเหล้ายาดอง และรางจาง รางจืดนี้มีสรรพคุณถอนพิษ มีข้อมูลทางเภสัชกรรมว่ามีสารต้านพิษโลหะหนัก ชื่ออะไรไม่รู้เป็นภาษาอังกฤษจำไม่ได้ โดยอุพันธ์ของสารจะออกฤทธิ์ทำให้พิษเสื่อมสภาพและฤทธิ์ยาจางลง ช่วยในการขับพิษอีกด้วย
            ในทางไสยศาสตร์ ย่านางแดงเป็นราชินีแห่งยาถอนพิษในอีสาน รางจืดเป็นราชาแห่งยาถอนพิษในล้านนา โดยเฉพาะประสิทธิภาพแก้ยาสั่ง ที่ปรุงจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ดีหมี ดีนกยู ดีงูเห่า พิษงู พิษคางคก พิษตะขาบ พิษแมงป่อง พิษของแสลง พิษเห็ดกลุ่มที่อันตรายต่อตับและไต คุณไสย์ประเภทเหล่านี้รักษาด้วยรางจืดนี้ได้ กินสดหรือตากแห้งก็ได้ หากคุณไสย์นั้นเป็นพิษกำเนิดเกิดเตโชธาตุกำเริบคือร้อนบรรดาในเศียร ตัวร้อนดั่งไฟในนำผงราจืดนั้นผสมเป็นยาเขียวรักษาดับพิษไข้แห่งคุณไสย์ จะใช้เถาหรือราก หรือใบ ต้มกับน้ำระพุทธมนต์ ตำ บด ฝนกับน้ำซาวข้าวก็ใช้ได้ทั้งนั้น แต่หากฉุกเฉินควรใช้ยาดิบคือกินสด กลืนสด แล้วให้ดื่มน้ำปริมาณมากๆ จะช่วยได้ดี
คาถาที่ใช้ปรุงนั้นมี 2 บท คือ คาถาหัวใจนวหรคุณ คาถาพระเจ้าทั้งสาม คาถาหัวใจพระสูตร หัวใจพระวินัย หัวใจโพชฌงค์ และหัวใจพระเจ้าห้าพระองค์ ดังนี้ "อะสัง วิสุโล ปุสะพุภะ สะทะวิปิ ปะสะอุ มะ อะ อุ อาปามะจุปะ ทีมะสัง อังขุ นะโมพุทธายะ"
และอีกบทหนึ่งใช้ปรุงยา คือคาถาหมอชีวกโกมานภัจจ์
"โอมะ นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก
สัพพะ สัตตานัง โอสะถะทิพพะมันตัง
ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระภัจโจ ปะภาเสสิ
วันทามิ บัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนะโหมิ"
ใช้สองคาถานี้กำกับการปรุงยาขนานนี้ ย่อมสามารถถอนพิษแห่งคุณไสยได้ทันถ่วงที


ชุดที่ ๓ ยาถอนมหาละลูย (ไม้เท้ายายม่อม โลดทะนงแดง ว่านโมกขศักดิ์ )

ไม้เท้ายายม่อม



            ในยาถอนพิษคุณไสย์มหาละลูย ที่โดยผิวหนังโดยการกรีดแทง ขวนโดนพิษชนิดนี้การใช้ขนานยานี้มีความประสบความสำเร็จในการรักษามาก และควรใช้เป็นวิธีแรกหากโดนพิษมหาละลุย ใช้ต้นไม้เท้ายายม่อม พวกกะเหรี่ยงเรียกว่า "พวกวอ" ตามตำนานการเกิดต้นไม้เท้ายายม่อมนี้ที่โด่งดังเป็นตำนานของเกาะช้างซึ่งกล่าวถึงไม้ท้าวของยายม่อมคนเลี้ยงช้างกลายเป็นต้นไม้เท้ายายม่อม ซึ่งไม่เกี่ยวกับการถอนพิษแม้แต่น้อย สำหรับต้นไม้เท้ายายม่อมอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเท้ายายม่อม ถ้าเป็นต้นเท้ายายม่อมแล้วกินเข้าไปแบบสดๆมีหวังอันตรายน้ำยางสีเหลืองของเท้ายาม่อมคันและมีพิษจะทำให้มหาละลุยมี่ฤทธิ์กำเริบขึ้นโดยเร็ว แต่ถ้าใช้ต้นไม้เท้ายายม่อมจะสามารถรักษาและบรรเทาอาการจากพิษที่โดนพผิวหนัง
            มหาละลูย มักปรุงพิษจากสัตว์เลี้อยคลาน น้ำลายของเหี้ย จิ้งเหลน งู ตะเข็บ ตะขาบ แมงป่อง คางคก แมงมุม และแมลงมีพิษ ผึ่ง ต่อ แตน แมลงภู่ มด แม้กระทั้งตำแยและหมามุยก็เป็นส่วนประกอบเพราะเกาแล้วเล็บขวนผิวทำให้ยาซึมเข้าสู่ผิวหนังซึมเข้ากระแสเลือดได้
            สรรพคุณตามเภสัชวัตถุของไม้เท้ายายม่อมนี้ใช้ถอนพิษทั้งปวง พิษแมลงสัตว์กดต่อย พิษงูและสัตว์เล็กสัตว์น้อย พิษฝีหนอง ซึ่งง่ายๆคือตำพอก หรือต้มกิน หรือฝนบดผสมน้ำกิน ไม่ต้องเจริญพระพุทธมนต์ให้ใช้คาถากำกับ แล้วก็ใช้ดอกขาวนะ แต่ถ้าจะชัวร์ว่าเป็นพิษงูก็ใช้ดอกแดง ส่วนรากและลำต้นใบบดผสมน้ำกิน ใช้ใบบดคั้นพอกบาดแผลที่โดนพิษมหาละลุย ตามตำราเรียกว่า "ปทุมราชา" หรือ "ปู่เจ้าหายใจมิรู้ขาด" แต่ถ้ามีเวลาว่างๆและพิษนั้นเผย่ว่าปรุงด้วยคุณไสย์อันมีเลือดหมาแมววัวควายหรือประจำเดือนมาปรุงด้วยให้ปรุงไม้เท้ายายม่อนด้วยคาถามหาปทุมหรือโองการพระเจ้าห้าพระองค์ ๓ จบ ๙ จบ หรือปรุงน้ำมนต์ในหนึ่งราตรียานี้จะถอนพิษแห่งมหาละลุยได้


โลดทะนงแดง เทพแห่งยาถอนพิษนาค




            "อมสามปกมหาสามปกวิรูหะ อมเพิกสะหะ" คาถานี้ใช้กับโลดทะแดงโดยเฉพาะ เป็นคาถาของท้าววิรูปักษ์ และท้าววิรุฬหก ใช้กำหลาบเหล่าพญานาคราชทั้งปวง หากโดนพิษคุณไสย์อันทำแต่พิษงูทั้งมวล แลพิษแห่งนาคทั้งปวง เนื่องจากผู้มีวิชาไสย์ดำประเภทพิษนาคจะใช้พิษนาคเพราะแรงกว่าพิษงูธรรมดา หากแน่ใจว่าโดนแล้วเซรุ่มก็รักษาพิษคุณไสย์งูนี้ไม่ได้เพราะอนึ่งเซรุ่มเป็นพิษต้านพิษ แต่คุณไสย์พิษงูจะมีกรรมวิธีผลิตพิษโดยเสมือนตนว่าไม่ใช่พิษไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ทำให้ร่างกายไม่ทราบว่าโดนพิษงูเมื่อตรวจก็ไม่พบพิษงูแต่ประการใด แต่ยามออกฤทธิ์พิษที่บังเกิดก็จะทำให้เตโชธาตุลุกเป็นไฟบังเกิดไฟในศีรษะปวดหัวตัวร้อนไข้ขึ้นกระทันหัน แล้วพิษงูก็กำเริบ

            ให้นำโลดทะนงแดง ส่วนรากเหง้าฝนกับน้ำ ขณะเตรียมยาคือน้ำพระพุทธมนต์ โลดทะนงแดง และหินฝนยา ให้ตั้งพระคาถาปฐวีธาตุลงหินบดและฝนยาว่า "เอหิ ปะฐะวิง พรหมา เอหิ อาโป อินทะรา เอหิ เตโช นารายะ เอหิ วาโย อิสสะรา นะ หิ อะ ปะ นุ สะ ติ เต นะ ภู มิ เต สะ ละ ติ นา รา ยะ วา ละ กะ ติ นะ ปะ ฐะ วิ ยัง มะ มะ อุ อะ กะ สะ สะ ทะ นะ มะ อะ อานุภาเวนะ โหตุ สัพพะทา"
แล้วจึงตั้งนะโม ๓ จบ ขึ้นคาถาหมอชีวกว่า
"โอม นะโม ชีวะโก สิระสา อะหัง กะรุณิโก
สัพพะ สัตตานัง โอสะถะทิพพะมันตัง
ปะภาโส สุริยาจันทัง โกมาระภัจโจ ปะภาเสสิ
วันทามิ บัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนะโหมิ"
แล้วจึงฝนยา ขณะฝนยาบริกรรมคาถาฝนยาว่า "สัพเพเนตตา สัพพยาธิ วินาสน สัพพสิทธิ ภวันตุเม" ภาวนาไปกว่าจะฝนยาสำเร็จ
เมื่อจะใช้ยาฝนนั้น ให้ปลุกเสกด้วยคาถาโลดทะนงแดง
"อมสามปกมหาสามปกวิรูหะ อมเพิกสะหะ" ๓ คาบ ๗ คาบ ก็จึงให้แก่ผู้ถูกพิษกระทำนั้นดื่มกินจักหายจากคุณไสย์นั้นแลนาฯ

            หากประการหนึ่งถูกโดนแบบมหาละลูย ให้เอารากโลกทะนงแดงมาปลุกด้วยคาถาโลดทะนงแดงเสกไว้ ๓ คาบ ๙ คาบ แล้วฝนกับน้ำมะนาวทาบนแผลจักดับพิษได้โดยทัน
            โลดทะนงแดง ฝนประสมกับน้ำพระพุทธมนต์แก้พิษคุณไสย์ที่ปรุงจากพิษแมงมุม ถอนพิษผิดสำแดงในอาหารทั้งปวง คือพิษอาหารแสลงเช่นกินเห็ดโคนแล้วสำแดงพิษว่าโดนคุณไสย์ใช้โลดทะนงแดงฝนกับน้ำพระพุทธมนต์ให้ดื่มกินจะช่วยชีวิตไว้ได้ หากพิษนั้นปรุงจากเห็ดให้นำเม็ดหมากแห้ง รากโลดทะนงแดง รากปลาไหลเผือก ฝนผสมน้ำดื่มดับพิษสุราเหล้าดับพิษเห็ดทั้งปวง ใช้กระสายยาเป็นเหล้าขาว 28 ดีกรีจะทำให้ฤทธิ์ยาถอนแรงขึ้น ถอนพิษทั้งปวงได้เร็วขึ้น และจักทำให้อาเจียนอย่างรุนแรง หากนำเอารากโลดทะนงแดงปรุงกับเม็ดหมากแห้ง แล้วใช้กระสายเ็นน้ำมะนาว ทาเหนือแผลจักถอนพิษงูและสรรพสัตว์พิษที่ต้องในแผลนั้นได้ แม้กระทั่งฝีหนองก็จักรักษาได้นานา

ว่านโมกขศักดิ์ ทดสอบพิษ


            ว่านโมกขศักดิ์นี้มิต้องปลุกเสกประการใด ด้วยเหตุว่าขณะปลูกและรดน้ำทุกครั้งหมอยาที่ปลูกไว้จะบริกรรมคาถาเสกน้ำรดต้นว่านอยู่เสมอด้วย "นะโมพุทธายะ" "อิติปิโส ภะคะวาติ" แล้วรดน้ำให้พอชุ่มอยู่เสมอ
ผู้ใดถูกต้องคุณไสย์ยาเบื่ออันประกอบด้วยเห็ดเมา เห็ดพิษผิดสำแดง และหอยเมา หอยพิษทั้งปวงให้นำว่านี้สดหรือแห้ง ฝนกับน้ำดื่มกินจะช่วยถอนพิษคุณไสย์นั้นๆได้เป็นอย่างดี
            ถ้าจะใช้สำหรับตรวจก็ฝานเป็นแผ่น ใช้เล็บขวนให้เป็นรอยแล้วโยนใส่ในอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหากว่านนั้นลอยน้ำแล้วหมุนไปมา ควงสวาท หมุนติ้วๆ กระตุกไปกระตุกมา สั่นกระเพื่อมผิวน้ำไม่หยุดให้สันนิษฐานว่าในนั้นมีคุณไสย์ ให้หลีกเลี่ยงกานกินหรือดื่มสิ่งนั้น หากนิ่งสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แสดงว่าในอาหารสะอาด ถ้าโดนมหาละลูยให้ตำพอกผิวหนังจะถอนพิษคุณไสย์ได้ประการทั้งปวง



ส้มป่อย คาถาส้มป่อยหลวง

ส้มป่อย คาถาส้มป่อยหลวง


            ชาวเหนือ คนเมืองล้านนาเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ส้มป่อย ฝักของส้มป่อยที่ใช้ขัดไล่เสนียดจัญไร เราเรียกกันว่า น้ำสุคันโธทกะ เป็นน้ำขมิ้นส้มป่อย มีการใส่ดอกมะลิ ดอกคำฝอย และดอกสารภีลงไปด้วย จึงเรียกว่า น้ำสุคันธะ แปลว่าน้ำอบน้ำหอม มีสีเหลืองอ่อนเนื่องจากใส่ขมิ้น ส้มป่อยฝักแห้ง และดอกคำฝอย

            ส้มป่อยที่ดี คือ ส้มป่อยเดือน 5 คือเก็บในเดือน 5 เมือง หมายถึงปฏิทินล้านนา เดือนห้า และยิ่งเก็บในวัน 5 เป็ง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ฝักส้มป่อยแห้งคาต้นจะยิ่งดีที่สุด นั่นก็คือวันมาฆบูชา วันที่พระจันทร์เสวยมาฆะฤกษ์นั่นเอง แล้วยิ่งเป็นส้มป่อยเจ็ดข้อหรือ 7 เมล็ด ยิ่งดีเข้าไปอีก ในการปรุงก็เอามาลนไฟย่างไฟพอหอมก็หักแช่น้ำ ผู้ใดได้สระดำเป็นศรีสิริมงคล ถ้าคุณมนต์อาคม จ่ามนต์ พระยามนต์เสื่อมเนื่องจากลอดราวผ้าถุง ตกไปในที่ต่ำ ย่ำไปในที่สูง ถูกถ่มน้ำลายคายน้ำหมากใส่  ลอดใต้ลานบวบห้างลานแตง ลอดเครือฝักแฝง ลอดใต้ต้นกล้วยงำเครือ ก็เอาน้ำส้มป่อยเดือนห้านี้ชุบล้าง คุณมนต์อาคมที่เสื่อมไปจักเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมาเร็วขึ้น

            ทำไมต้องเจาะจงว่า ส้มป่อยเจ็ดข้อเจ็ดเมล็ด จากชาดกเรื่อง "ปุณณนาคกุมาร" โดยครั้งที่ปุณณนาคกุมารอยากกลายเป็นมนุษย์ ปุณณนาคกุมารเข้ากราบทูลพระบิดาเพื่อขออนุญาตทิ้ง สภาวะอันเป็นนาคให้กลายเป็นมนุษย์ พระบิดาทรงอนุญาต และได้ประทานขันทองคำให้ 1 ใบ แล้วให้หาส้มป่อยให้ได้ฝัก ที่มี 7 ข้อ จำนวน 7 ฝัก เอาแช่ในขันที่มีน้ำจาก 7 แม่น้ำ และ 7 บ่อ นำไปที่ฝั่งแม่น้ำใหญ่ เสกคาถา 7 บท จำนวน 7 คาบ ถอดคราบออก และอาบน้ำมนต์พร้อมสระเกล้าดำหัว จากนั้นเอาคราบนาคนั้นใส่ในขันทองคำไหลลงน้ำเสียจึงจะเป็นคนโดยสมบูรณ์


            ตำนานว่าไว้ส้มป่อย ปู่ส้มป่อยย่าส้มป่อยแต่เดิมอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า เพราะโลกมนุษย์มีแต่โรคภัยไข้เจ็บทั้งเสนียดจัญไร ภูตผีปิศาจ ปู่ส้มป่อยย่าส้มป่อย จึงลงมาจุติขับไล่ภูตผีปิศาจ โดยครั้งลงเป็นต้นพุ่ม ปลายต้นชี้ไปถึงเมืองนาค ทำให้นาคกลายเป็นคน ออกฝักให้คนนำไปทำน้ำสระเกล้าดำหัว สาดซัดไล่ภูตผีปิศาจสิ่งเสนียดจัญไร 

ครั้งในรามายะณะ ตอนกำเนิดทรพี โดยล้านนาเรารับเอาคัมภีร์พรหมจักรชาดก เรื่อง "อุสสาบารส"
            ครั้งหนึ่ง มีควายชื่อทรพี คิดอยากเอาชนะพ่อ จึงท้าชนทรพาผู้พ่อ ทั้งสอง ต่อสู้กันจนเวลาล่วงเลย ฝ่ายทรพีเพลี่ยงพล้ำถูก ทรพาไล่ขวิดจนถอยร่น ไปไกล ขณะนั้นเองทรพี ได้ถอยไปชนต้นส้มป่อยที่กำลังออกฝักอยู่ ด้วยกำลังที่ชน อย่างแรงทำให้ฝักส้มป่อยหล่นลงมาถูกหัวทรพี ทันใดนั้น กำลังที่เคยอ่อนล้าหมดแรง เกิดฮึกเหิมเพิ่มขึ้น ได้ทีทรพี จึงถาโถมเข้าชนทรพาอย่างเมามัน ผู้เป็นพ่อเสียที หมด แรงถอยไปชนต้นมะขามป้อม ลูกมะขามป้อมหล่นถูกหัว เรี่ยวแรงที่อ่อนล้ายิ่งหมดไป จึงถูกทรพี ผู้เป็นลูกฆ่าตาย ในที่สุด เรื่องนี้อาจเป็นต้นเหตุหนึ่งของความเชื่อในอนุภาพ ของน้ำส้มป่อย
            อตี่เต๋ก๋าเล ในอดีตก๋าลนานมาแล้ว ยังมีพระญาความตั๋วหนึ่ง ชื่อ
ควายทรพาซึ่งเป๋นใหญ่กว่าควายตัวหลาย ได้หมื่นตั๋ว มีนางควายเป๋นเมียได้พันนาง ควายทรพาเป๋นควายผู้มีฤทธิ์เดชบารมี อำนาจยิ่งใหญ่มากนัก แม้คนและเทวดาก็กลัวเกรง อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ปกครองหมู่ควายตังหลายมาเป๋นเวลานาน
      ครั้งหนึ่ง มีเทวดาได้ทำนายไว้ว่า ภายภาคหน้า พระญาควายทรพาจะถูกลูกของต๋นซึ่งเป๋น ควายตั๋วปู้ฆ่าต๋าย ตั้งแต่นั้นมา เมื่อควายตั๋วเมียบริวารของต๋น ตั๋วใดคลอดลูกออกมาเป๋นตั๋วปู้ พระญาควายทรพา ก็จะขวิดต๋ายหมดทุกตั๋วควายตั๋วเมียทุกตั๋วก็มีความเศร้าโศกเสียใจ๋ยิ่งนัก ที่ต้องสูญเสียลูกของต๋นไปแต่จ๋ำใจ๋ต้องทำต๋ามคำสั่ง ของพระญา ควายทรพา เพราะเกรงกลั๋วอำนาจ

      แต่แล้วครั้งหนึ่ง มีแม่ควายซึ่งกำลังตั้งท้องแก่ตั๋วหนึ่ง บ่ต้องก๋ารที่จะหื้อ พระญาควายทรพาฆ่าลูกของต๋น จึงแอบ หนีจากฝูงไปซ่อนตั๋วอยู่ในถ้ำ จ๋นคลอดลูกออกมาเป๋นความตั๋วปู้ มีรูปร่างกำยำแข็งแรง ร่างใหญ่ยิ่งนัก นางควายจึงตั้ง ชื่อหื้อลูกว่า ทรพีด้วยความรักลูก แม่ควายจึงได้เลี้ยงดูทะนุถนอมลูกน้อยจนเติบใหญ่ 

      ทุกวันนางควายจะสั่งสอนหื้อทรพีควายน้อย ลูกขนตนอย่าได้เหลือกำออกจากถ้ำเป๋นอันขาดหื้ออาศัยอยู่แต่ในถ้ำ เท่านั้น เมื่อทรพีเติบใหญ่ก็อยากออกไปหากิ๋นใจ๊ชีวิตอยู่ข้างนอกถ้ำพ่อง จึงรบเร้าดื้อดึงที่จะออกจากถ้ำหื้อได้ แม่ควายกลั๋วลูกจะมีอันตรายจนถึงแก่ชีวิต จึงตัดสินใจ๋เล่าความจริงจ๋นหมดจ๋นเสี้ยงหื่อลูกฟังว่าทรพาผู้เป๋นป้อจะขวิด ลูกควายตั๋วปู้ทั้งหมดต๋าย ทรพีได้ฟังคำแม่เล่าจึงสงสารแม่และโกรธแคว้นความทรพาผู้เป๋นป้อ จึงพยายามออกกำลัง บำรุงร่างก๋ายของต๋นหื้อแข็งแรงเพื่อที่จะปกป้องตั๋วเก่าและผู้เป๋นแม่หื้อปลอดภัย โดยก๋ารฝึกฝนหัดขวิดต้นไม้และหินผา ทุกวัน ๆ และหมั่นไปวัดรอยเท้าของทรพาผู้เป็นพ่ออยู่เสมอ
      ในที่สุดความทรพีก็ตัดสินใจ๋ไปพบพระญาควายทรพาผู้เป๋นป้อ เพราะร่างกายมันแข็งแรงพอและมีรอยเท้า ที่เท่ากับผู้เป็นป้อแล้ว มันตรงเข้าไปถามว่า ท่านคือทรพาแม่นก่อ เมื่อทรพาตอบรับ ทรพีก็บอกว่ามีนคือลูกของทรพา ที่เกิดจากแม่ควาย ซึ่งหลบหนีไปคลอดลูกอยู่ในถ้า ทรพาเมื่อทราบเช่นนั้นก็ตกใจ๋มาก เป๋นติ๋นสั้นมือสั้น เนื่องจากกลั๋วตายเป๋นดั่งคำ ทำนายทางทักที่ว่า มันจะต้องต๋ายเพราะลูกของมันเอง จึงได้ตรงเข้าไปไล่ขวิดหวังจะฆ่าลูกหื้อต๋าย

      ในขณะที่ พระญาควายทรพาเป๋นผู้มีเต๋จ๊ะ ฤทธิ์เดชและอำนาจทรพีผู้เป๋นลูกก็มีความกำยำและแข็งแรงด้วยวัย หนุ่ม ตังสองป้อลูกต่อสู้ไล่ขวิดกั๋นบ่มีไผแป้ไผ่ก๊าน สู้กั๋นเป๋นเวลา 7 วัน 7 คืน ระหว่างที่พระญาควานตังสองไล่ขวิดกั๋นนั้นบังเอิญทรพาผู้เป๋นป้อ ได้เอาหลังไปจนยังต้นบ่ขามป้อม ทำหื้อหน่วยบ่ขามป้อมตกลงมาถูกตั๋วของทรพา จ๋นทำหื้อฤทธิ์เดชอำนาจ เสื่อมลงไปทันทีอย่างงน่าประหลาด ทรพากลั๋วจะพ่ายแพ้แก่ทรพีจึงพยายามอึดใจ๋กระหน่ำ ไล่ขวิด ทรพีอย่างสุดแรง ดันร่างทรพีลูกของต๋น ทรุดลงไปอิงต้นส้มป่อยทำหื้อน้ำค้างจากใบส้มป่อยหล่นลงมาใส่หัว ของทรพี จ๋นเกิดพละกำลังขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ จึงลูกขึ้นดันทรพาผู้เป๋นป้อไปสุดกำลัง
      เมื่อทรพาทรุดลงไป ทรพีผู้เป๋นลูกได้ทีจึงเอาเขาขวิดป้อ เลือดพุ่ง ไส้ทะลัก จ๋นถึงแก่ความต๋ายลงทันที คนตังหลายจึงกล่าวถึงทรพีว่าเป๋นลูกที่อกตัญญูคือฆ่าป้อของต๋นจึงเปรียบและตราหน่าว่าเป๋นลูกทรพีก็เนื่อมาจากสาเหตุอันนี้
      นับตั้งแต่นั้นมา ชาวล้านนาก็หันว่าส้มป่อยเป๋นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมเอาส้มป่อยมาใจ๊ในพิธีกรรม เพื่อหื้อเกิด ความศักดิ์สิทธิ์ขลัง และใจ๊อาบน้ำ พรมน้ำมนต์เพื่อหื้อเกิดพลัง และความเป๋นศิริมังคะละ (สิริมงคล) ต่อต๋นเอง อันเป๋นคติสืบทอดกั๋นมา ดังนี้แลฯ


คาถาส้มป่อยหลวง (โองการส้มป่อยบทใหญ่)


            คาถาบทนี้ใช้ปรุงน้ำมนต์ส้มป่อย น้ำสุคันโธทกะ ขับไล่เสนียดจัญไร แก้คุณคนคุณผี คุณไสย์ยาสั่งยาแฝด เสกกินเสกอาบ ไล่ผีสางภูตพรายปิศาจ น้ำก้านมะยม มัดหญ้าคา ใบหนาดในหนามกวนน้ำมนต์พร้อมกับบริกรรมไปด้วย
            โอม ป่อย ป่อย มหา ป่อย ป่อย โอมกูจักมนต์ปู่ส้มป้อยย่าส้มป้อยแต่ก่อนมาหลังมึงอยู่ปายฝากฟ้าจักวานบัดนี้มึงลงมาเป็นต้นซะลายป๋ายมึงเถิงเมืองนาครากต้องดินดำลำมึงต้องดินแดงทุกญิงชายย่อมแล่นหามึงสะเก้าดำหัว โอมมุกกันทะสัพพะจัญไรท่านหื้อตกใจ๋จากเนื้อจากตั๋วท่านไปวันนี้ยามนี้
เยียวว่าท่านได้ไปขึ้นไปลอดลาวขัวแสนท่า หื้อมึงแก่เสียเน้อป้อยเน้อ
เยียวว่าท่านไปถูกหลาวข้าวแสนต๋ำหื้อมึงแก้เสียเน้อป่อยเน้อ
เยียวว่าท่านใด้ไปถูกขี้หม่าน้ำดำก็ หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกดินดำแกบก้องก็ หื้อมึงแก่เสียเน้อป้อยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกงาจ้างฆ่าหักขำ หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ถูกต้องเคราะห์ตกกลางเรือน หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
แก้เนอปล่อยเนอเยียวว่าท่านได้ไปถูกผีเถื่อนผีโพง หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกผีกลางโต้งกลางนา หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกผีเงือน้ำวังป๋า หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกจัญไรท่านใส่หุ้น หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกภัยจ้างใหญ่ใพรสา หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปเข้าใฮ่ห่อเฮือน หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
เยียวว่าท่านได้ไปถูกผีกะพงผาย หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
            พระปายหายท่านหย่าได้มาแปดแขวดละท่านมาตา ติ๊บพระขวัญได้ไปถูกว้านใบหานได้ไปถูกคำกางก่ำ ได้ไปถูกจำน้อยต๋าเหลือง ได้ไปถูกกำเมืองใหญ่น้อย ไปถูกถ้อย23 ได้ไปถูกนาม55 ได้ไปถูกผีป่าจ้าอันท่านจ้างมาหื้อหลงใหล หื้อมึงแก้เสียเน้อปอยเน้อ
             โอม หู ลู หู ลู สวาหาย ตะสะเตสีอุระกังยะต๊ะฐาคังคายะโสตั๋งตัดติมะโน ผะผิฐิตุงสะโพนโต๋ประรายันตุสาเตวีจะปัญจะกังฆะยะนะราชะเตวีจะปัญจะธะระณีนะมามิหังสุกะโตสุกะตัสจานังจ๋ะสุมะคะโต๋โป๋นะโมนะมามิหัง  อุ่งมะอุ่งมะซะแว้มะเก๋สวา โอมกั๊งก๊ะยะมะหากั๊งก๊ะยะ ปอยอยู่ฟ้าแขวนสุง แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ท่านได้ถูกผีแหมแลเถือนถ้ำ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ท่านถูกผีเงือกน้ำสองนาง ถูกผีลวงยางอยู่ม่อน แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
โอมฐิมาหะอิอุสวาหาย ป่อยอยู่ฟ้า แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ท่านถูกผีป่าจ้ามายะหื้อใหลหลง แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีตายโหงเตี่ยวอากาศ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีวิศาจร้ายอันท่านขับหนี แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกยางก่ายต่านมาแปด แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกยาแฝดท่านมาตา แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกว้านก่านหน้า แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกยาก้านดำ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีเตียวเมืองท่านฆ้า แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกป่าเจ้าตายท่านฆ้ากลางตาง แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีสองนางอยู่เถื่อนถ้ำ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีหน้าเจ้าอยู่ยังดอย แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีวัดห่างอยู่ไม้ก้ำศรี แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกลังกะเจดีมหาธาตุ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกวิศาจอากาศกลางหาวและกุมภัน แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีมองจ้างหานถูกฟ้ากางกับถูกถานเหลืองถูกกำเมืองเป๋นบ้า
ถูกภัยปันว้าอยู่กลางโต้งดงลี แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
โอมเต๊เมนะมะอะอุสวาหะ ปลอยอยู่ฟ้า แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ท่านถูกผีขี้หม่าน้ำจำ แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีลินดำมิดบ้อง แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีจ้างปวงหลวงหลายแก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกภัยงัวควายตายห่า แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกไก่ป่าพระตาขันหนีถูกผีเข็นอยู่ยังคิวบ่อฮู้หนีจากเจ้า
ถูกผีหมวดอั้นอยู่กลางหัว แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
ถูกผีต๋ามัวจ้างมาเยียว หื้อเป๋นผีลี้เป๋นตุ่มกูผีตาซุ่มจ้างมาแสวงหากิ๋น
ถูกพายดินและพายโบ้ง แก้เสียเน้อป่อยเน้อ
โอมนะโมพุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ ยะธิทัง หูลู  หูลู  สวาหาย
โอม  ทุรา  ทุรา  เพเทเร  สวา  หาย
            โอม30น้ำส้มป่อยมึงลุกไหลมา40ปี๋แห่หน้า50ปี๋แห่หลัง
ลูกตังทางไกลถูกคล้องสายใยหากูมาแก้ก็วันนี้
ลูกตังใต้ถูกคงภัยเมืองบ้านหากูมาแก้ก็วันนี้ เป๋นตัวต่อตัวท่าน
หนีก็หนีเสียวันนี้ เป๋นปอนั้งปอนอนจ๊ะหนีก็หนีเสียวันนี้
ปาจ๊ะหนีเสียหาด จ๊ะหนีก็หนีเสียวันนี้
ไก่คะแต้เหนือเดิน จ๊ะหนีก็หนีเสียวันนี้
ผีเข็นเย็นแต่เจ้า จ๊ะหนีก็หนีก็หนีเสียวันนี้
ลมปันเก้าเมาหัว จ๊ะหนีก็หนีเสียวันนี้
อุ่งทิโลอุ่งโลกีอุ่งเลาเย็นอุเยียวเราเราเย็น
โอมอะมุ เสียหลวงปากกว้างมือกูแรงเป๋นดั่งจ้างสาร
มือกูหานเป๋นดั่งขวานตองฟ้า มือกูกล้าเป๋นดั่งกงจักร
กูจักปักตี่ไดก็หื้อแห้ง  กูจักแทงตี่ใดก็หื้อขาด
บ่อผญาปูริสาดหื้อแก่กู โอมกะยะวะสิกาจิ๋นตามณี
เมหังปุพพะกัมมังปุพพาวิกังเอหิ ลาพามหาเตชัง ภะวันตุเม
 
            โอมสิธิการิยะครูบาอาจารณ์หื้อแก่กู กูจักมนต์ส้มป่อย7ฝัก7ข้อหมอสระเสียโอมส้อป่อยดอยหนามหาน ฮากมันปกดินดำเครือมันงำ3ห้วย ฮากมันดน3ปั๋นดอย โอม30ก็มีป่อหมอหลวง หื้อมาจ่วยกูแก้ยา หื้อแก้ส้มป่อย โอมสวาหะเลิก โอมผะปายกำมังสิทธิหะถัง สิทธิก๋าระตะถาก๊ะตะ สัมภะลัง สิทธิกันเจ๋วะนะมามิ สิทธิกั๋มมะ โต๋พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ พุทธังเต๋โพธิ ธัมมะนุภาเวนะมะตะติ๊เป๋ป๊ะ ติขิปเป๋จะเมวุป๊ะสะมันตุ โลกาตีนิสิงเหสะต๊ะนาเก วิสุกัมเมจิตต๊ะลาก๊ะเนภะเยนะสะก๊ะต๊ะเจนะระขันตุ โอมลายอันตราย ตวา ตัสสะมะหาอุตต๊ะกะ สัปป๊ะใจยา สิทธิ หูลู หูลู สวาหาย
            โอมสีธิการ พ่อหมออาจารณ์ผู้ประเสริฐลำเลิศกว่าหมอทั้งหลายโผดฝายเสด็จเพชอาคมสวาหะ
กุสละเสียยังแสลงเทศเพชหื้อตกไปด้วยน้ำ กูจักสละเสียยังจำแก่นหื้อซำไปด้วยดิน กูจักสละเสียยังอย่าหื้อมนต์ทินสังมาใกล้ กูจักสละเสียยังบาปใบ้อย่ามาปาน กูจักสละเสียยัวยานอย่าหื้อแปดได้ต้องยาแฝดท่าน กูจักสละเสียหื้อหายได้ต้องยากาย กูจักแก้เสียหื้อหายได้ต้องยากายกูจักสละแก้เสียซ่วยเสียหื้อหมดแห้งไข้ป่งฮู้แควน กูจักแก้เสียแยน7อยู่แกนฮูปถูกกำท่านส่งต๋น กูจักแก้เสียเป๋นคนจื่อป่อแลก กูจักแก้เสียเสี้ยงบ่งออกกูจักแก้เสียผีมักฮับออกมักอำจักแก้เสียเป๋นกำบ่งฮู้แล้ว กูจักแก้เสียแควงอยู่สะอืนสะอ้อน กูจักแก้เสียนวนมักฝันฮ้ายกูจักแก้กับกลายนอนไม่หลับกูจักแก้เสียขิงขิงอยู่ใจ๋ไหว กูจักแก้จันไรท่านมาปอก กูจักแก้เสียท่านได้เคราะห์13มาต้องกูจักแก้เสียท่านได้เคราะห์55มาถูกกูจักแก้เสียโซกซ้าท่านถูกฮ้ายกูจักแก้เสียซุยทรายท่านดูหมิ่น กูจักแก้เสียผีว่าเป๋นโตดกลางวัน กูจักแก้ฝูกใดกระทำร้ายอ้ายจาก กูจักแก้เสียน้ำมาพัดไหลกูจักแก้เสียไฟจักมาไหม้ กูจักแก้เสียเสีนอยู่ตังวันคางทุกคางยาก กูจักแก้เสียซมุดซมาดปากเสียสีกูจักแก้ซยาน วนบนติวตือกกตกต้นไม้ กูจักแก้เสียสัปปะเคราะห์ทั้งหลายมีต้นว่า อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ราหู เกตุ อันได้เป๋นถูกต้องลักขณาปาถาจาเคราะห์สัปปะเคราะห์สัปปะคาดได้ต้องอุบาตพระยมอุบาตพระสมอะคิพิษศะหนูกูจักแก้เสียได้เป๋นยาธินักหนาลำบากกูจักแก้เสียโอมไก่แตกหันเห็นก็หื้อหนีไปวันนี้ผีเข็นอยู่คิงทำร้ายหื้อแก่เจ้าก็หื้อซัวไปในวันนี้เสียหมีจักขอกัณหนีจากถ้ำก็วันนี้เสือหมีก็วันนี้โอมกัสแลงไกล้โอมสัปปะเคราะห์สัปปะโตดโอมสัพปจั่งไรโอมใสโอมสวาหะสวาหายหื้อตกไปด้วยส้มป่อยหื้อตกไปด้วยอาคมกูจักแก้เสี้ยงโอมสวาหาย
            โอมนะโม  โลกะนาถ  กูขึ้นอากาศแสนตีจั้นฟ้าธรณี  อิสีปีใหม่  โอมโกโน  มะกะบาด  กูหมายยาหนวดมึงมี  3  ใบ  กับหยอดกูจักสั่งมึงปันผีพรม  ปัดผีพาย  ปัดสะวาย  ลงมีดป้องปัดตัว  ผีตาหลวงตาเหลืองเข้าหมิ้น  ปัดตัวผีแหลบลิ้นกินคน  ปัดตัวผีปินบนมาต่างอากาศ  ปัดตัวผีจิ้นฟ้าหยาดลงมา  ปัดตัวผีป่อลุงเก้าไม้  ปัดตัวผีจุมปวก  ปัดตัวผีบวกควาย  ปัดตัวผีตายปองจาน้ำ  ปัดตัวผีเถื่อนถ้ำหยาดน้ำและคูหา  ปัดตัวผีลุงตาผีมด  กูจักปัดตก  สัพพะสัตว์ตกวินาศหุลุ  หุลู  สวายเทิก
            โอมนะโมพุทธายะ นะกือพระกุกุกสันโธ  โมกือพระโกนาคม  พุทกือพระพุทธกัสสะปะ  ธากือ พระศรีอริยะเมตตรัย ขอเดชพระปาระมีพระพุทธเจ้าตั้ง ๕  องค์ รวมถึงพระปะระเมศวรผู้เป็นเจ้าเสด็จมาตั้งฟ้าแลดิน ตั้งสินสานสมุทร แลพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาศ จตุโลกาบาลตั้ง๔ แม่ธรณี แม่นางคงคา พระเปิง พระปาย พระนารายณ์ท่านจิงจักให้กันเสนียญแลจังไรพงพายทั้งหลายอย่าได้มาถูกต้องท่านจั่งจักให้ตีเจือกบาทแลบ่วงก้องทั้งปอกแลขอทั้งกะทอแลคน กูจักทำตามมนต์ท่านจิงจักให้ไว้ท่านจิงจักไว้ให้ทำการ กูจักบักบานต้นไม้ใหญ่อันมีผี กูจักตัดพิธีต่อก๋งต่อวารบานประตู ขุดขื่อขุดบ่อ ขุดท่อต่อแปงตาง ขุดสะเกตุ รูปพระ รูปพา ตัวเบงยะศาลา จ้อหนังธัมสัง ทั้งผีตายหง ต่อโลต่อโกร ตัดศาลามณฑป นมศพ ปะนมเมรุ ครูกูจื่อว่าพระอนุรุตทเถรต๋นมีฤทธิ์เทวจิงจักเอาน้ำต้นแก้วไปตักเอาน้ำ อะโมมะตะมหานทีมาให้แก่กูแล้วใช้แก่กูเป็นหมอเฒ่าแก่คนทั้งหลายให้กูเอาไปรดวัวควายรดจ้างรดม้ารดคนเป็นบ้าอยู่กลางเมือง รดคนเงือนคนเง่าหาวนอนอยู่ รดคนถูกต้องอธิการเธอสล่นจนิงจักขื่อขำถูก รดผักรดผ้ารดข้าวในนา รดผัก รดแพง รดแตง รดเต้า รดเข้ามิ้นขิงข่ากล้วยอ้อยม่วงฝาง รดเข้าในยุ่งในสาง รดนางผู้ได้หายใจอันยาก รดหมาก รดปู รดงูขึ้นเฮือนงูเหลือมขึ้นฮ้านสัตว์เถื่อนเข้าบ้านแรงใจหลังคา รดเขี้ยวรดงาอันเป็นอธิการเธอจิงจักเอาต้นไปต่อต้นเอาป๊ายไปต่อป๊ายเอาเก๊าไปฝากพระนารายณ์เอาป๊ายไปฝากพระแม่ธรณีโอมนะโมพุทธกำจัดเคราะห์ออกไปโอมนะโมธัมมะกำจัดเคราะห์ออกไปโอมนะโมสังฆกำจัดออกไปโอมหุลาเพธุเลสวาหาย พุทธคุณนัง ธัมมะคุณนัง สังฆคุณนัง อิสีคุณนัง มหาอิสีคุณ นังปัจเจกะพุทธสารังอรหันต๋าคุณนัง พระปิดต๋าคุณนัง พระมารดาคุณนัง นะโมนะมะนะอะวา กะณะฆะณะนะยังวะมะธะวา จังวิหายะมะสิสัจกะวา พุทธปัญญา ธัมมะปัญญา สังฆปัญญา วาธิ มะสังอังขุ ปาปามะจุปะ สังวิทาปุกะยะปะ อัสวาส ปัสวาส นิสวาส  ภะวะสูตร พระวินัย กะวะถะคะ อภิธัมมาเจ้า7คัมภีร์ จุงลงมาเป๋นที่พึ่งเมแห่งข้า โอมมโหสถใจป้องขอหื้อใจกูซ้องป่านดาว ขอหื้อใจกูขาวปานฝ้า ยามเมื่ออ้าปากขึ้นปอหื้อไหลลงมา อุ่งสติ มามะติ มาสติ มานิ มานัง อานุพันธิตวา มาเลมาโสโส เลมาลังยันตังสันตังวิลึงวิตึงคะเลนะมะพะทิดจะภะกะสะนะโมพุทธะ พระครูกูจื่อว่าพระมหากัจจายเถระเจ้าต๋นมีฤทธีเต๋ชะจิงมาประสิทธิหื้อแก่กูหื้อปัดยังอุปัตตะวะอันตราย วินาศสันติ พุทธัง กั๋นเสนียญจังไร วินาศสันติ สิทธิหุลู หุลู สวาหาย  ธัมมัง กั๋นเสนียญจังไร วินาศสันติ สิทธิหุลู หุลู สวาหาย  สังฆัง กั๋นเสนียญจังไร วินาศสันติ สิทธิหุลู หุลู สวาหาย  นะโม พุทธายะ สีโลเม พุทธะเทวัญจะ นะลาเต พรหมมะเทวะตา อัททะเย นะรากันเจวะ หะเถ ปะระเม สุราปาเทถะ เพชรฉลูกัญเจวะ สัพพะกัมมะ ประสิทธิเม  สมุหะติ สมุหะตา สมุหะเสนา ลุยยะ  ถอนยะ คัตชะตะ คัตชะมุหิ โอกาเสติ ติถาหิ สมุหะติ สมุหะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะสาโร โสธายะ โสสะติ  อิติปิโส ภะก๊ะวา ฝูงวะวา วะโสผาติ หะหัง  วะวิโววังวะ วิวะอะวะสุสะตะวิวะสวาหาย

อุ่งจ้อ อุ่งจะ อุ่งจ๊ะ อุ่งนะวะสวาหาย (เป่าลงขันน้ำมนต์)
กัสสะ อะมุมหิโอก๋าเส (เป่าลงขันน้ำมนต์)

โองการส้มป่อยบทใหญ่จบเพียงเท่านี้

ดอกมะลิ สัญลักษณ์วันแม่

ดอกมะลิ สัญลักษณ์ของวันแม่

            ในช่วงชีวิตของเราชาวไทยต้องคุ้นเคยกันดีกับดอกมะลิ ส่วนน้อยมากๆที่จะไม่รู้จักดอกมะลิ ส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีว่าดอกมะลิเป็นดอกไม้สีขาว และกลิ่นหอมเฉพาะตัวของดอกมะลิ แม้จะไม่เห็นดอกมะลิเพียงได้กลิ่นก็รู้ในทันทีว่ากลิ่นดอกมะลิ เท่าที่เราเป็นประโยชน์คงจะเป็นพวงมาลัยดอกมะลิที่ใช้ไหว้พระ  ไหว้แม่  แขวนหน้ารถบ้าง  ไหว้ศาลพระพรหมระภูมิบ้างอะไรบ้าง แหล่งที่ขายพวงมาลัยดอกมะลิมักจะมีตามร้านดอกไม้ ตลาดดอกไม้ ตลาดนัดทั่วไป  ข้างถนนแม้แต่เดินเร่ขายกลางถนนพร้อมกับหนังสือพิมพ์ยังมีให้เห็น
                        มะลิ คำสุภาพเรียกว่า มัลลิกา ในภาษาอักฤษ Jasmine ลักษณะโดยทั่วไปเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง พบในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าพบในประเทศไทย ต้นมะลิบางพันธ์จะขึ้นเป็นพุ่ม บางพันธ์จะเลื้อย ความสูงประมาณ 1-3 เมตร ลำต้นมีการแตกตาอ่อนตามซอกใบและข้อปล้อง ทำให้มีกิ่งก้านสาขาไปรอบๆต้น ใบเดี่ยวผิวเรียบสีเขียวเข้มรูปร่างป้อมมนปลายแหลมออกเป็นคู่ตรงข้าม และสลับหว่างกันในแต่ละชั้นตามก้านและกิ่ง ดอกออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อตามยอดและงามใบ มีสีขาว กลิ่นหอมเฉพาะตัว กลีบดอกออกเรียงกันเป็นวง แต่ละพันธ์มีจำนวนชั้นของดอกต่างกัน ผลกลมรีเมื่อสุกจะเป็นสีดำในผมมี 1 เมล็ด เจริญเติบโตได้ดีในแสงแดดจัดกลางแจ้ง ขยายพันธ์ด้วยการปักชำ การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การแยกกอ ชอบน้ำและดินร่วนซุย
                        องค์ประกอบทางเคมีในน้ำมันหอมระเหยของมะลิ benzyl alcohol, benzyl acetate,   jasmine lactone, methyl jasmonte, geraniol, jasmine, jasmone, methyl benzoate, caryophyllene, cadinene, hexenyl benzoate
, etc.
                        องค์ประกอบทางเคมีใน ใบ และลำต้นของมะลิลา triterpenoid, flavonoid,  irridoid glycoside เช่น sambacin, jasminin, quercetin, isoquercetin, rutin, kaempferol-3-rhamnooglycoside, linalool, sambacoside A, E, F, methyl benzoate, benzyl acetate, methyl salicylate, myrcene, d-fenchene, limonene, cis-linalool oxide, trans-3-hexenyl butyrate , etc.



                        คติโบราณการปลูกมะลิ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นมะลิไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกต้นไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธถ้าจะให้เป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นนั้นผู้ปลูกควรเป็นสภาพสตรีที่สูงอายุ เพราะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงและยังเป็นผู้ที่ประกอบคุณงามความดี เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลทั่วไป


พันธ์ของมะลิ

1.มะลิลา

            มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย

2.มะลุลี


            มะลุลี ลักษณะต้น ใบ อื่น ๆ คล้ายมะลิลา แต่ใบใหญ่กว่าดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก และดอกกลางบานก่อน เช่นกัน แต่มีดอกซ้อน 3-4 ชั้น ปลายกลีบมน
มะลิถอดลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.

3.มะลิซ้อน

            มะลิซ้อน (Grand Duke of Tuscany) ลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายมะลิถอด และมะลิลาซ้อน แต่ใบมีลักษณะแคบกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอกเช่นกัน กลีบดอกซ้อน แต่ซ้อนกว่า 5 ชั้น แต่ละชั้นมีกลีบดอก 10 กลีบ ขึ้นไป ขนาดดอก 3-4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอมมาก

4.มะลิฉัตร

            มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอก ดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม

5. มะลิทะเล 
              มะลิทะเล เป็นไม้รอเลื้อย ดอกเป็นกระจุก ๆ หนึ่ง มี 5-6 ดอก กลิ่นหอมฉุน

6. มะลิพวง (Angelwing jasmine)


7. มะลิวัลย์ (Angel-hair jasmine) 


                มะลิวัลย์ (Angel-hair jasmine) ใบเดี่ยว รูปรี ปลายแหลม ออกเป็นคู่ตรงกันข้าม ดอกเป็นช่อเล็กเพียง 1-2 ดอก ตรงซอกใบ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 2-3 ซม. กลีบแคบและเรียวแหลม ดอกมีกลิ่นหอม

8. พุทธชาด (Star jasmine) 



                      พุทธชาด (Star jasmine) หรือ บุหงาประหงัน เป็นไม้กึ่งยืนต้นกึ่งเลื้อย มีขนาดต้นสูง 1-2 เมตร ขนาดใบยาว ซม. ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกัน ดอกขนาดเล็กสีขาว กว้าง 1.5 ซม. ดอกดกออกเป็นช่อ ดอกมี กลีบหรือ กลีบ มีกลิ่นหอมแรงมากในเวลากลางคืน ดอกบานไม่พร้อมกัน ดอกดกและออกดอกตลอดปี

9. มะลิเฉลิมนรินทร์ (Jasminum bhumibolianum Chalermglin)
                       มะลิเฉลิมนรินทร์ (Jasminum bhumibolianum Chalermglinเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของประเทศไทยที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ จัดอยู่ในสกุลมะลิ วงศ์มะลิ  มีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากมะลิพื้นเมืองและมะลิชนิดอื่น ๆ คือ  เป็นไม้เถาเลื้อยได้ไกล 1-2 เมตร  กิ่งยอดเรียวเล็ก  ใบหนา  เหนียวสีเขียวเข้มเป็นมัน ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งยอดหรือปลายกิ่งข้าง มีดอกย่อย 7-13 ดอก มีกลีบเลี้ยง แหลม หนาแข็ง ขนาดใหญ่จำนวน 4-5 ซี่ รองรับดอกสีขาวที่มีกลีบดอก 6-8 กลีบ และมีกระเปาะเกสรเพศผู้สีเหลืองเด่นชัด มีผลกลมรี 1-2 ผล เมื่อสุกมีสีดำ ออกดอกบานในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน  ส่งกลิ่นหอมแรง มีผลแก่เดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม  เป็นมะลิที่เจริญเติบโตช้าเมื่อเทียบกับมะลิชนิดอื่น ๆ ในโลก 


ประโยชน์ของมะลิ
            - ดอกมะลิ เป็นไม้ดอกจัดสวน ประดับตกแต่ง และเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่


            - ดอกมะลิ ใช้ร้อยมาลัย สำหรับงานต่างๆ เช่นบูชาพระ หรือ ไหว้แม่ เป็นต้น


            - ดอกมะลิ ใช้ทำเครื่องหอม สกัดน้ำมันหอมระเหย ในอุตสากรรมน้ำหอม


            - ดอกมะลิ ใช้ประกอบอาหาร เช่นข้าวแช่ น้ำลอยดอกมะลิใช้แต่งกลิ่นขนม หรือ ใช้เป็นเครื่องดื่ม


            - ดอกมะลิ สดหรือตากแห้งทำเป็นชาดอกมะลิ หรือใช้แต่งกลิ่นชาเขียว





สรรพคุณ
                        ดอกมะลิจัดอยู่ในยาพิกัดเกสรทั้ง 5 , ทั้ง 7, ทั้ง 9 รสหอมเย็น สรรพคุณใช้บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น จิตใจชุ่มชื่น ผ่อนคลายบรรเทาความเครียด ช่วยให้หลับง่าย มีฤทธิ์สงบประสาทเป็นยานอนหลับถ้าใช้ปริมาณมากอาจถึงขั้นสลบ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้หืด ใช้แต่งกลิ่นใบชา แก้โรคบิด อาการปวดท้อง หากตำให้ละเอียดพอกที่ขมับ แก้อาการปวดหัวและปวดหูชั้นกลางได้ ช่วยรักษาแผลพุพอง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ  แก้ลมวิงเวียน
            ใบ ราก - ทำยาหยอดตา
            ใบ - แก้ไข้แก้ไข้ที่เกิดจากอาการเปลี่ยนแปลงได้ดี ช่วยบำรุงสายตา รวมทั้งรักษาอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย ขับน้ำนม รักษาโรดผิวหนัง หากนำใบมาตำแล้วละลายกับน้ำปูนใส แต้มแผลฟกช้ำ แผลเรื้อรัง โรคผิวหนังจะหายไวขึ้น
            ราก - แก้ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เลือดออกตามไรฟัน เสียดท้อง รักษาหลอดลมอักเสบ นำรากมาฝนกินกับน้ำใช้แก้ร้อนใน คนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก ให้นำรากมาประมาณ 1-1.5 กรัม ต้มน้ำกินก็ช่วยได้



                                              สุดท้ายนี้ดอกมะลิประดิษฐ์ดินปั้น