ร่างทรง จริงแท้หรือหลอกลวง

ร่างทรง

อรัมภบท
            คนกลุ่มหนึ่งพลีกายถวายชีวิตแด่วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อาศัยร่างกายของตนเพื่อเป็นที่ประทับและเป็นที่ประดิษฐานดวงจิตนั้นๆ เพื่ออำนวยการต่างๆทั้งเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ เพื่อนปกปักษ์พิทักษ์รักษา และเพื่อบำเพ็ญบารมี พวกเขาเหล่านั้นถูกเรียกขาลว่า “ร่างทรง”
            ร่างทรง คือ คนสำหรับทรงเจ้า คนที่เป็นร่างให้วิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้าสิง โดยความหมายแล้ว ทำให้ผู้คนเครือบแครงใจในคนทรงเหล่านั้นว่ามาจากเทพเจ้าหรืออุปโลกน์ตนขึ้นมาว่าเทพเจ้ามาสิงสู่ ร่างทรงมักถูกตั้งข้อกังขาว่าเป็นของจริงหรือว่าของปลอมกันแน่
            ในความเชื่อของศาสนาและลัทธิต่างๆบนโลก ศาสนาคริตส์จะมีภูติสวรรค์และซาตานซึ่งสามารถดลใจหรือมาแจ้งความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยวิธีการต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีการประทับทรงแต่มีน้อยมากจนแทบไม่มีเพราะไม่เป็นที่นิยม ในเมื่อสามารถดลใจให้รู้ ปรากฏกายให้เห็นได้ หรือเข้าฝันบอกกล่าวให้ทราบได้ จึงไม่ต้องมาสิงสู่มนุษย์โดยไม่จำเป็น ในศาสนาอิสลาม ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดๆ หากมีการเข้าทรงจะถือว่าเป็นภูตผีปิศาจมาเข้าสิงสู่ พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสลงมาโดยตรงตามความประสงค์ของพระองค์มากกว่าการมาทรงเจ้า
            ในศาสนาพราหมณ์ จะมีเทพเจ้าสูงสุดคือพระตรีมูรติ พระพรหม พระนารายณ์ และพระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายของมุนษย์เพราะถือองค์เป็นปรมัตมัน เป็นอนันต์ สามารถปรากฏกายได้โดยพระองค์เอง พระแม่ศักติ พระแม่อุมาเทวี พระแม่ลักษมี พระแม่สุรัตสวัตตี รวมถึงพระพิฆเนศ พระขันธกุมาร เหล่าเทพเจ้าที่กำเนิดโดยเทพสูงสุด ท่านเหล่านั้นสามารถจำแลงแปลงกายและอวตารหรือแบ่งภาคได้ จึงไม่เข้ามาทรงให้ร่างของมนุษย์ เหล่าพราหมณ์จะเป็นผู้ถ่ายทอดพระเวทและความประสงค์ที่พระผู้เป้นเจ้าตรัสลงมาโดยไม่ต้องทรงเจ้าแต่ประการใด
            ในศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน มหายาน เถรวาท ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการทรงเจ้าเข้าผี ยิ่งศาสนาพุทธถ่ายทอดและเผยแพร่เข้ามาแทนที่ลัทธิความเชื่อเดิมคือ เลี้ยงเจ้าเข้าผีถือผีแล้ว ร่างทรงจะมีอิทธิพลต่อความเชื่อเป็นอย่างมาก ทั้งลัทธิเต๋าก็มีการทรงเจ้า ลัทธิองเมียวจิก็มีการทรงเจ้า ทางตะวันตกลัทธิวูดูก็การทรงเจ้า แม้แต่ความเชื่อโบราณอย่างกรีกโรมันก็มีการทรงเจ้าให้เห็น โดยเทพเจ้าที่เข้าทรงจะไม่ใช่เทพเจ้าชั้นสูงสุด จะเป็นเทพชั้นกลางๆหรือรองลงมา

ปฐมบท
            “ข้าพเจ้าขอขมาต่อวิญญาณและสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในสกลโลก จักรวาลและอนันตจักรวาล”
เทวดาที่ไม่มีร่างกายหรือกายหยาบ เนื้อหนังมังสาอย่างมนุษย์การจะปรากฏกายให้เป็นรูปกายนั้นอย่างอยู่ในขอบเขตของวิสัยที่จะสามารถกระทำได้ด้วยพละและเดชะบารมี ดังนั้นการแสวงหาผู้คนมาเป็นภาชนะเพื่อบรรจุดวงจิตนั้นย่อมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เหล่าเทวดาจะกระทำ แต่การกระทำนั้นก็อยู่ในขอบเขตที่ทำได้เช่นกัน หากแต่ว่าเป็นภูตผีปิศาจพราย สามารถเข้าสิงสู่ร่างกายของคนได้โดยง่ายอยู่แล้ว ไม่มีพิธีรีตองใดๆมากนักเหมือนกับเทวดามาประทับทรง เทพยดาที่จะประทับทรง คือเทวดาที่ไม่สามารถดลใจ ไม่สามารถแบ่งภาค ไม่สามารถอวตาร ไม่สามารถจำแลงแปลงกายลงมาให้เห็นได้ ก็เหลือวิธีสุดวิสัยคือประทับทรง ดังนั้นเทพดาเจ้าชั้นสูงๆขึ้นไม่จึงไม่จำเป็นต้องประทับทรง
            ร่างทรงจะถูกเลือกโดยเทพยดา ร่างนั้นบริสุทธิ์ ร่างนั้นพรหมจรรย์ ร่างนั้นไร้มลทิน หากพูดให้เข้าใจง่ายๆคือเป็นภาชนะที่สะอาดบริสุทธิ์พอจะบรรจุดวงจิตของเทพยดา ซึ่งคนกลุ่มนี้ค่อนข้างจะหายาก มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และร่างทรงจะต้องพลีกายเป็นภาชนะเป็นที่ประทับให้เทวดาจึงลำบากที่จะไม่ให้ดวงจิตนั้นแปดเปื้อน
            ตรงกันข้ามถ้าเป็นภูตผีปิศาจ จะสิงสู่ใครก็ได้ ร่างนั้นอ่อนแอ ร่างนั้นบอบบาง ร่างนั้นมีมลทิน ไม่สะอาดบริสุทธิ์ จิตอ่อนกำลัง ย่อมเป็นช่องทางให้ภูตผีช่วงชิงร่างกายมาเป็นที่อาศัยได้โดยง่าย บางรายอาจจะภูตผีถูกหลอกว่าเป็นเทวดามาประทับร่าง ซึ่งพวกนี้จะน่ากลัวกว่าร่างทรงปลอม ร่างทรงปลอมที่ว่าน่ากลัวแล้วร่างทรงภูตผีน่ากลัวกว่ามาก ร่างทรงปลอมเป็นมิจฉาชีพที่ฉ้อฉลนหลอกลวง ตอแหลเพื่อหากินจากคนไม่รู้ แต่ร่างทรงภูตผีปิศาจจะไม่ใช่แค่หลอกลวง แม่ชีวิตจิตวิญญาณของร่างนั้นและคนอื่นมันก็จะเอา ซึ่งนั้นหมายความว่าถึงชีวิต ถึงขั้นตายเลยก็ว่าได้

ประเภทของร่างทรงและมูลเหตุแห่งการทรง
            - ร่างทรงเทพ คือเทพยดาชั้นกลางและชั้นล่างมาประทับทรง มาเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์ เพื่อปกปักษ์พิทักษ์ เพื่อรักษา และเพื่อบำเพ็ญบารมีของตนเอง (ไม่ใช่เทพทุกองค์จะชอบการทรงร่างมนุษย์)
            -  ร่างทรงฤาษี คือ ฤาษีบางกลุ่มที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ดำรงอยู่เป็นครูมาประดิษฐาน มาเพื่อสั่งสอน และเพื่อเป็นครูอาจารย์ ฤาษีเหล่านี้มีไม่มาก ส่วนใหญ่ท่านจะมาดลใจให้ฝันแล้วสั่งสอน (ไม่ใช่ฤาษีทุกตนจะปรารถนาการทรงร่างมนุษย์ เพราะศีลฤาษีและศีลมนุษย์ไม่เท่ากัน บุญบารมีก็ต่างกัน)
            -  ร่างทรงผี คือ ผีดีและผีร้าย มาเข้าสิงในร่าง โดยผีดีจะเข้าสิ่งเพื่อบอกใบ้เหตุการณ์ มาอารักขาร่าง มารักษาร่างและช่วยเหลือมนุษย์ตามกำลังของตน ส่วนผีร้ายมาสิ่งสู่เพื่อความประสงค์ตัวเอง แก้แค้น ล้างแค้น ชำระความอาฆาตพยาบาท หรือแสวงหาร่างที่อยู่อาศัย แสวงหาดวงวิญญาณมนุษย์ (ภูติผีส่วนใหญ่เคยเป็นมนุษย์แล้วมาอาศัยอยู่ร่วมโลกกับมนุษย์มีภพภูมิใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด จึงสามารถเข้าสิงสู่ได้โดยง่าย)
            -  ร่างทรงปลอม คือ ผู้ที่เชื่อมากหรือมโนคิดไปเองว่ามีคนมาสิงร่าง
, ผู้ป่วยทางจิตเวชที่คิดว่ามีคนอื่นมาสิงสู่ , มิจฉาชีพที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน โดย ๓ อย่างนี้มีเยอะมาก มีทั่วไปให้เห็นมากมาย


ภาษา
            ภาษาเทพ คือ ภาษาดลใจ ไม่พูดก็ได้ยิน ไม่รู้ก็เข้าใจ ไม่เห็นก็รับรู้ได้  คล้ายกับการหยั่งรู้และรู้แจ้งด้วยตนเอง แต่แค่หยั่งรู้และรู้แจ้งโดยมีผู้อื่นมาดลใจให้ทราบให้รู้ ซึ่งเหล่าเทพยดาจะใช้ภาษาเหล่านี้ในการสนทนากัน ยกเว้นแต่ว่าเทพยดาเจ้าจะปรารถนาสนทนาเป็นภาษามนุษย์ตามถิ่นที่อยู่ต่างๆท่านก็จะพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ โดยภาษาจะเป็นไปตามท้องถิ่นที่อยู่นั้น หากไม่ใช่เทพประจำถิ่นก็ต้องใช้ภาษาของถิ่นนั้นๆในการสื่อสาร หากเป็นเทพพราหมณ์ฮินดูก็จะใช้ภาษาสันสกฤต เทพกรีก-โรมันก็จะใช้ภาษากรีก-โรมัน เทพเจ้าท้องถิ่นจีนก็จะใช้ภาษาจีนของแต่ละท้องที่ เทพเจ้าญี่ปุ่นในศาสนาชินโตในลัทธิองเมียวก็จะใช้ภาษาญี่ปุ่น ทางตะวันตกทูตสวรรค์ก็ย่อมใช้ภาษาละติน ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ภาษาฮิบรูในท้องถิ่นของอังกฤษ เทพเจ้าของของชาวไอยคุปต์ก็สื่อสารด้วยภาษาอิยิปโบราณหรืออักษรฮีโรกริฟฟิค ร่วมถึงเทพทางเอเชียอาคเนย์จะใช้ภาษาประจำถิ่นของเอเชียอาคเนย์ เช่น เทพท้องถิ่นของไทยจะใช้ภาษาไทย เทพของพม่าก็จะใช้ภาษาพม่าหรือภาษามอญ กล่าวได้ว่าเทพเหล่านั้นเกิดที่ไหนจะสื่อสารด้วยภาษานั้น ลักษณะเป็นข้อผูกมัดทางความเชื่อและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมตามท้องถิ่น
            ภาษาเทพจะสามารถสื่อความหมายให้รู้เรื่อง ไม่พูดมั่ว ไม่ว่าเหล่าเทพจะพูดอะไรผู้รับสารจะเข้าใจและรู้เรื่องเสมอ ในทางพระพุทธศาสนา เหล่าเทพสามารถใช้ภาษาได้มากมายเนื่องจากมีหลายประเทศต่างภาษา  รวมทั้งภาษามคธ ภาษาบาลี และภาษาเฉพาะของเทพเจ้าในพระพุทธศาสนาคือ ภาษาหิมวันต์ ที่ใช้ในป่าหิมพานต์ ลักษณะคล้ายภาษาบาลี-สันสกฤต ภาษาทมิฬสิงหล โดยภาษานี้เป็นเอกลักษณ์ของเทพเจ้าในป่าหิมพานต์ในคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและฮินดู

วิธีเข้าทรง
            วิธีทรงเทวดาหรือผีดีจะดลใจเท่าที่จะทำได้ให้ร่างทรงทราบก่อนว่าจะประทับหรือเข้าสิง มักเข้าฝันให้รู้ จากนั้นร่างทรงจะถือพรตตามจารีตประเพณีของแต่ละความเชื่อจนร่างกายบริสุทธิ์สดใส ปราศจากมลทินแล้วจึงเข้าทรง ร่างทรงจะไม่รู้สึกตัวว่าถูกเข้าทรง ลืมทุกอย่างระหว่างการเข้าทรง ไม่สามารถรับรู้และควบคุมร่างกายได้ เหมือนนอนหลับไปแล้วละเมอไม่รู้สึกตัว แต่เทวดาและผีดีก็ไม่ได้ใจร้ายไม่บอกอะไรร่างทรงเลย ท่านจะบอกให้ร่างทรงรับรู้บ้างตามโอกาส ส่วนผีร้ายพวกภูติผีปิศาจก็จะเข้าสิงสู่ตามจริตของตน สิงแล้วก็ออกล่าฆ่าสิ่งมีชีวิต แสวงหาสิ่งมาบำเรอความต้องการของตน อยากสิงก็คือสิงเมื่อมีโอกาส อยากออกก็คือออก หรือโดนไล่ถึงจะออก ต้องกล่าวว่าโดนเข้าสิงมากกว่าเข้าทรงถึงจะถูก พิธีกรรมใดๆก็แล้วแต่ที่กระทำเพื่ออัญเชิญเทวดาและผีดีเข้าทรงล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องปรุงแต่งให้ร่างกายนั้นบริสุทธิ์และเพียบพร้อมแก่การประทับทรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีครูประทับทรงจะมีพีธีกรรมไหว้ครูบาอาจารย์ปฏิญาณเป็นศิษย์เสียก่อนจึงประทับทรง
            เมื่อเข้าทรงแล้วจะเกิดปาฏิหาริย์ต่างๆเฉพาะตน จะมิใช่อาการของขึ้นไม่ได้กลายร่างเป็นเสือ ลิง ไก่ ปลาไหล่เลื้อยไปมบนพื้น เต่าคลานต้วมเตียม แต่การทรงเจ้าจะมีลักษณะนอกบุคลิกดังนี้
            สัมผัสทั้งห้าของร่างทรงในขณะทรงเจ้าจะต่างจากมนุษย์ทั่วไป โดยเฉพาะร่างทรงเทพ การมองเห็น การได้ยิน การรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตะตามแต่บารมีของเทพองค์นั้น ๆ เทพมองเห็นมนุษย์ทุกความเป็นไปในอดีและปัจจุบัน แน่นอนว่าเทพสามารถบอกได้ว่าใครทำอะไรที่ไหน บอกเรื่องราวในปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง ได้ยินโดยไม่ต้องมีเสียง แม้ความคิดเทพก็รู้เพราะเป็นภาษาดลใจ เทพไม่จำเป็นต้องรับรสหรือกลิ่นควันธูปที่จุดบูชาควันกำยานอาจจะไม่มีกลิ่นเลยก็ได้หากเทพที่มาทรงร่างประสงค์ แม้จะสาดน้ำหอมหรือใช้เครื่องหอมบูชากลิ่นสามารถเปลี่ยนได้ตามประสงค์ของเทพ ทวยเทพที่ใกล้ชิดมนุษย์ก็อยู่ในภพภูมิที่หลงรูปรสกลิ่นเสียงเช่นกัน ยอมพึ่งพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงที่ตนปรารถนา แม้ถวายสุราหากเทพสัมผัสแล้วปรารถนาเป็นน้ำเปล่าก็จะเป็นน้ำเปล่าดื่มเช่นใดก็ไม่เมา ควันบุหรี่ของร่างทรงเจ้าพ่อเจ้าแม่เห็นว่าท่านจุดไฟเผากระดาษเผาใส้บุหรี่แต่คนที่ออกมากลับไม่มีกลิ่น ควันออกมากลับมีกลิ่นแตกต่างกันไปตามเวลาไม่ใช่ควันเหม็นไหม้ ไม่ว่าจะเอาบุหรี่ยี่ห้ออะไรมาใช้เจ้าพ่อเจ้าแม่สูบควันก็ไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นเฉพาะตัวที่ท่าปรารถนาไม่ใช่เหม็นไหม้ เทพบางองค์เปลี่ยนร้อนเป็นหนาวเป็นหนาวเป็นร้อนได้ให้รู้เป็นปาฏิหาริย์ ยืนชุมนุมกันท่ามกลางร่างทรงเทพที่อยู่กลางแดดตะวันตรงหัวแต่กลับหนาวเย็นดุจอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ส่อง กล่าวได้ว่าปาฏิหาริย์จะอยู่เหนือเหตุผลและความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
            การร่ายรำตามบทเพลงเหล่าทวยเทพและนางอัปสรหรือนางฟ้าก็ร่ายรำได้ ซึ่งเพลงนั่นก็มาจากเหล่าวิทยาธร คนธรรพ์ เทพเจ้าที่มีหน้าที่บรรเลงเครื่องดนตรี ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ เช่น กลองส่งเสียงเอง พิณส่งเสียงเอง เครื่องดนตรีไม่ต้องมีคนบรรเลงส่งเสียงเองได้ แล้วร่างทรงก็ร่ายรำ หรือแม้ไม่มีเครื่องดนตรีใด ๆ ไม่มีอุปกรณ์เครื่องเสียงใด ๆที่มีเสียง แต่เสียงดนตรีก็มาเอง ผีที่ลงเจ้าเข้าผีชอบกระทำ เพราะอีกฝ่ายจะได้รับรู้ว่ามาเข้าทรงแล้ว  รุกขเทวดามักรำตามเสียงใบไม้ไหว เสียงนกร้องตามธรรมชาติที่มิได้เสแซ้แกล้งทำ
     
ผลของการเป็นร่างทรงเทพ ฤาษี และผีดี             -ได้บำเพ็ญบุญบารมีร่วมกับเจ้าที่เข้าสิง แต่สูญเสียอิสรภาพที่จะควบคุมร่างตน
            -ได้ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่แสวงหาเงินทองหรือทรัพย์สินอื่นๆเพื่อมาปลูกสร้างสำนักหรือสิ่งที่ตนนับถือ จะรับเพียงปัจจัย ๔ ให้ดำรงชีวิตได้ ส่วนวัตถุอื่นเพื่อกล่อมเกลาจิตใจก็มีบ้างแต่ไม่มากมายจนกลายเป็นธุรกิจการค้า
ไม่ใช่การขายของ
 
          - ร่างทรงเมื่อทรงเจ้าสิ่งที่เป็นทรัพย์และมีค่าที่สุดจะไม่ใช่ปัจจัย ๔ หรือเงินทอง สิ่งที่มีค่าที่สุดจะเป็นบุญบารมี และบุญบารมีขั้นสูงๆจะมาจากการทำความดีไม่ใช่เอาเงินไปบริจาคเอาเงินไปทำบุญ ทุกคนสามารถสั่งสมบุญบารมีได้ไม่ว่าจะรวยจนหรือระดับฐานะไหน เหตุใดเงินทองของมีค่าถึงไม่มีประโยชน์ เพราะเมื่อเทพเจ้าหรือภูติผีออกจากร่างทรงแล้วพวกเทพไม่สามารถเอาของเหล่านั้นไปด้วยได้ อย่างมากก็ตกไปอยู่กับร่างทรง ซึ่งสิ่งที่เทพจะปรารถนาคือบุญบารมีสามารถนำติดตนไปได้เมื่ออกจากร่างทรง
            - ได้ทำในสิ่งที่ใจปรารถนา ผีดีก็ได้ช่วยเหลือคนที่เขาอยากช่วยเหลือ ผีร้ายก็ได้ล้างแค้นฆ่าสิ่งที่ตนอาฆาตพยาบาท     

ปัจฉิมบท
  พิสูจน์ร่างทรง
“ขอขมาแด่สัพพะบูรพาอาจารย์ด้วยเทอญ”
  เมื่อได้ศึกษาข้างต้นแล้ว วิธีพิสูจน์ร่างทรงโดยสังเขป ๙ ข้อนี้ 

๑. “สิ่งใด” หรือ “อะไร”
? ที่ไม่ต้องบอกคนก็ “รู้”
            ไม่กล่าวอ้างว่าตนเป็นใคร ไม่แอบอ้างว่าตนเป็นใคร หากแอบอ้างจะเป็นพวกผีร้ายและมิจฉาชีพ การกล่าวอ้างโดยใช้ร่างทรงที่เป็นร่างมนุษย์นั้น เป็นการพูดเท็จ เทพจะไม่กระทำ เป็นลักษณะจริตของภูตผีปิศาจชอบแอบอ้างตนว่าเป็นผู้นั้นผู้นี้อย่างสนุกปาก  การที่จะถูกเรียกว่าร่างทรงจริงได้ ไม่ต้องอาศัยการป่าวประกาศสถาปนาตนเองว่าฉันเป็นร่างทรงให้เทพองค์นั้นองค์นี้มันดีอย่างนั้นอย่างนี้

๒. สิ่งที่สะอาดแล้ว คือ สิ่งที่ไม่สกปรก
      สิ่งที่ “บริสุทธิ์” ยอมปราศจาก “มลทิน”
            เทพเจ้าชั้นสูงสุด จะมิแสวงหาร่างมนุษย์เพื่อสิ่งสู่ให้เกิดมลทินแปดเปื้อนพระองค์เอง เทพเจ้าอยู่ในฐานะที่เคารพบูชา มิได้อยู่ในฐานะเทียบเท่ามนุษย์ บางองค์อาจจะอวตารมาอุบัติใหม่ บางองค์อาจจะแบ่งภาคลงมา แปลงจำแลงกายลงมาโดยพระองค์เอง ถือเป็นเอกบุคคลหนึ่งเดียว ดำรงอยู่ในฐานะเทพเจ้าที่อวตารเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้าที่อาศัยร่างกายมนุษย์คนอื่นเป็นที่สถิต เทพเจ้าท่านอวตารแบ่งภาคลงมาเกิดได้ แต่จะไม่สิงสู่มนุษย์ให้เกิดความเสื่อมเสีย จิตใจมนุษย์ไม่ได้บริสุทธิ์สดใสเสมอ

๓.  “เครื่องแต่งกาย” เป็นเครื่องบอก “ฐานะ”
“ความคิคและจิตวิญญาณ” เป็นเครื่องบอก “ตัวตน”
            เครื่องทรงหรือเครื่องแต่งกาย อาภรณ์และวรรณะสีสัน ใช่ว่าเมื่อใส่เสื้อผ้าแบบเทพแล้ว เทพจะมาสิงสู่ แต่หากว่าภูตผีปิศาจอาจจะเข้ามาสิงสู่ได้ และมิจฉาชีพจะใช่เครื่องทรงเสื้อผ้าทำให้คนอื่นหลงเชื่อ แค่ใส่ชุดให้เหมือนก็เชื่อว่าเป็นท่านนั้นท่านนี้แล้ว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเข้าทรงก็จริง แต่เป็นจริตของภูตผีมากกว่าเทพเทวดา เครื่องทรงไม่สำคัญ เครื่องแบบทำให้น่าเชื่อถือสำหรับคนที่อยากให้เชื่อถือ

๔. สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป
          สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น
            ปาฏิหาริย์ และอิทธิฤทธิ์ เทพเทวดาไม่ทำร้ายร่างทรง และไม่คิดจะฆ่าร่างทรง แต่ผีร้ายไม่ได้ใส่ใจในสุขภาพของร่างทรง จะเอามีดเอาเหล็กแหลมหรือปืนยิงร่างที่ตัวเองสิงสู่อยู่ได้ แต่ถ้าเทพเทวดาจะปกปักษ์รักษามากว่าทำกิริยาทรมานร่างทรง ไม่เอาดาบฟันแทงตัวเอง หรือทำอันตรายต่อร่างทรง แม้ว่าของเหล่านั้นจะทำอันตรายร่างทรงไม่ได้ก็ตาม การกระทำเหล่านั้นเป็นการอวดอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เรียกว่าการแสดงโชว์มากกว่าการแสดงปาฏิหาริย์ แล้วปาฏิหาริย์และอิทธิฤทธิ์ ไม่ใช่แสดงมายากลโชว์แหกตาผู้พบเห็น
 
๕.  “กินเพื่ออยู่” มิใช่ “อยู่เพื่อกิน”  
     “อยากได้ อยากมี ไม่อยากจน” ล้วนไม่จำเป็นเมื่อตายไปแล้ว
            การกิน เทวดาคงไม่มานั่งคดข้าวเหนียวกินกับข้าวอย่างคน มิเช่นนั้นเราคงเห็นพระอินทร์พระพรหมมานั่งกินข้าวตามร้านอาหาร เทวดาจะกินอาหารอันเป็นทิพย์ หากเทพประสงค์ให้ร่างทรงได้กินอาหารก็จะเรียกหาอาหารตามกรณีไป ไม่ใช่ตลกหากิน ไม่ใช่มิจฉาชีพหลอกกินเครื่องเซ่นของถวาย ถ้าเทพที่มาประทับอยากให้ร่างทรงอิ่มท้องจะกินอะไรก็ได้ที่ทำให้อิ่มท้อง ไม่ใช่เครื่องเซ่นสั่งได้ พวกเครื่องเซ่นสั่งได้เป็นนิสัยของผีส่างทั้งผัดีผีร้ายมักจะหิวแล้วเข้าสิงสู่ร่างมนุษย์ออกหากินเครื่องเซ่นของถวาย แต่คนที่อิ่มคือร่างทรง ผีก็ได้รับรู้ว่ากินจึงไม่อิ่มแล้วเข้าสิงสู่ออกหากินอยู่เรื่อย ๆ กล่าวได้ว่าร่างทรงจริงไม่เห็นแก่กิน

๗. ความแตกต่าง ทำให้เกิด ความเลื่อมล้ำ
     ความคลุมเครือ ทำให้ “ความจริง” กับ “ความไม่จริง” ไม่สามารถแยกแยะออกจากกันได้
             เทพคือเทพ ผีคือผี คนคือคน ถ้าเอามาร่วมกันจะกลายเป็นอมุนษย์  เรียกว่าคนก็ไม่ใช่ เรียกว่าผีก็ไม่เชิง เรียกว่าเทวดาก็ไม่ถูก การที่นำมาผสมหลอมรวมกันทำให้เราเข้าใจผิดว่ามันคืออันเดียวกัน หรือเรากำลังพยายามทำให้มันอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ขัดแย้ง เทพรวมกันคน แล้วเรียกว่า ร่างทรง ถ้าเราสังเกตความแตกต่าง เราจะรู้ว่าอันนี้คน อันนี้เทพ อันนี้ผี เห็นร่างทรงว่า ร่างทรงอันนี้เป็นเทพจริงๆ ร่างทรงอันนี้เป็นคนแกล้วว่าเป็นเทพ ร่างทรงอันนี้เป็นผีที่บอกว่าตนเป็นเทพ

๘. ความจริง เป็นสิ่งไม่ตาย
            ร่างทรงอันไหนของเท็จอันไหนจริง บางครั้งไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ เพราะทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามความเป็นจริง ไม่พ้นกฎแห่งกรรม ร่างทรงของจริงทำสิ่งที่ถูกที่ควรก็ได้รับผลตามนั้น ร่างทรงจอมปลอมทำสิ่งเท็จหลอกลวงย่อมได้รับผลของการกระทำนั้น คนจะเชื่อแล้วโชคดีเจอร่างทรงจริง หรือถูกหลอกทำให้เกิดความเสียหายเพราะหลงเชื่อร่างทรงปลอมก็เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาทั้งสิ้น ถ้าอยากรู้ว่าร่างทรงไหนจริงไม่จริงให้มองที่ “ความจริง”

๙. เมื่อ “เชื่อ” เราจะ “เชื่อ” แล้ว “เข้าข้างตัวเอง”
เมื่อ “ไม่เชื่อ”  เราจะ “ไม่เชื่อ” แล้ว “เข้าข้างตัวเอง”
            การเชื่อหรือมีอคติ ถ้าเราเชื่อว่าร่างทรงนี้ของจริงเราจะเชื่อว่าเป็นร่างทรงจริงๆแม้ว่าเขาจะเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงว่าตนเองเป็นร่างทรง เขาจะโกหกเขาจะหลอกลวงแค่ไหน เราก็จะเชื่อ แล้วก็จะบอกว่าของจริง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่เชื่อว่าร่างทรงนี้เป็นของจริง เราก็จะไม่เชื่อว่าเป็นร่างทรงจริงๆ แม้ว่าท่านจะเป็นร่างทรงจริงๆ เราก็จะไม่เชื่อ ก็จะบอกว่าของปลอม ดังนั้นในมองผู้คนและสังคมรอบข้างก่อนจะเชื่อหรือไม่เชื่อตามบริบทที่ควรจะเป็น แต่ร่างทรงของจริงและของปลอมอย่างไรก็ตามให้อาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในข้อ กาลามสูตร ๑๐ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก่อนจะเชื่อ
                        ๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
                        ๒. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา
                        ๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
                        ๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์
                        ๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ
                        ๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน
                        ๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
                        ๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
                        ๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
                        ๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านนี้เป็นครูของเรา

คำแนะนำ เพื่อเป็นการเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้เป็นการดูถูก และไม่ให้เป็นการดูหมิ่น และเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผู้วายชน  
            - ไม่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรงเทพชั้นสูงสุดของทุกศาสนา
            - ไม่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรงของศาสดาของทุกศาสนา
            - ไม่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรงของนักบุญ นักพรต พระโพธิสัตว์ พระอริยเจ้า
            - ไม่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรงของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า และพระเทพบิดร พระบรมวงศานุวงศ์ โดยเฉพาะประเทศไทย ไม่ว่าจะสมัยใด รัชกาลใด ท่านทั้งหลายล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ควรเคารพบูชา เป็นสยามเทวาธิราชเจ้า เทพยดาเจ้าที่คอยปกปักษ์พิทักษ์ประเทศชาติ ท่านทั้งหลายประกอบด้วยเทวากฤษฎาภินิหาร หากประสงค์จะบอกเรื่องอะไร ท่านจะดลใจให้เกินเป็นบุรพนิมิต เทวานิมิต ให้เหล่าผู้สืบสายเลือดท่านได้สุบินถึงท่านเอง  
            - ไม่แอบอ้างว่าเป็นร่างทรงของวีรบุรุษและวีรสตรี บุคลลสำคัญในประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์ไปแล้ว

มัชฌิมบท
 ประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยเจอ

เรื่องที่ ๑ ร่างทรงรักษา
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสพบกับชายคนหนึ่ง เขามีอาชีพเป็นหมอ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องผีส่างเทวดา วันหนึ่งเขารู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็งที่กำลังจะแพร่กระจาย เขารักษาทุกวิธีทางจนสุดท้ายมาเจอชายแก่ๆคนหนึ่งที่ร่างทรง เขาก็เข้าไปปรึกษาเป็นที่พึ่งทางใจ แต่ก็ไม่ได้เชื่ออะไร ร่างทรงได้ให้ข้อเสนอว่าถ้าเป็นร่างทรงให้ต่อจะทำให้หายจากการเป็นมะเร็งและอายุยืน หมอคนนั้นก็ตอบตกลง แต่ก็ไม่เชื่อ เขาไม่ได้หายจากการเป็นมะเร็ง แต่มะเร็งนั้นหยุดการเจริญเติบโตและฝ่อไปจนไม่มีอันตรายต่อร่างกาย เขาได้สืบต่อการเป็นร่างทรงแต่ก็ไม่ประกาศให้โลกรู้ว่าเขาเป็นร่างทรง เขาเป็นที่รู้จักในนามหมอคนหนึ่งที่อุทิศชีวิตรักษาผู้อื่น ทั้งตอนที่ทรงเจ้าหรือไม่ทรงเจ้าเขาก็เป็นหมอที่รักษาคนไข้จนหายดี

เรื่องที่ ๒ ร่างทรงหาศพ
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมมือกับหน่วยกู้ชีพกู้ภัย โดยหนึ่งในหน่วยกู้ชีพเป็นร่างทรงให้วิญญาณ เพื่อนของเขาเล่าว่าคนนี้เวลาออกค้นหาศพผู้เสียชีวิต เขาจะถูกเข้าสิงแล้วชี้จุดที่มีศพอยู่ โดยทั้งหมดนั้นเขาไม่รู้สึกตัว ตอนนั้นลุงคนหนึ่งพาหลานไปเล่นน้ำ แม่น้ำนั้นกว้างและใหญ่ น้ำไหลลึก หลานถูกกระแสน้ำลากลงที่ลึก ลุงจึงไปช่วยหลานขึ้นมาที่ตื้นได้แต่ตนเองว่ายสู้กระแสน้ำไม่ไหวจึงจมน้ำเสียชีวิต ผู้เขียนได้ทำการช่วยค้นหาอยู่บนเรือโดยมีทีมดำน้ำ ๓ คน และกู้ชีพอีก ๓ คน หนึ่งในนั้นคือร่างทรงนั้นเอง งมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ผู้เขียนแน่ะนำให้ไปพาตัวหลานมาชี้ตำแหน่งจมน้ำ กู้ชีพที่เป็นร่างทรงก็ล้มลงแต่เพื่อนของเขาพยุงไว้ สภาพเหมือนคนสลบไม่มีสติ ผู้เขียนเป็นบุคคลากรทางการแพทย์จึงทำตามหลักการปฐมพยาบาลคือจับชีพจรพบว่ากู้ชีพคนดังกล่าวปกติดีเหมือนคนกำลังนอนหลับลึกมากกว่าสลบ เพื่อนเขาคนที่พยุงไม่ได้ตกใจอะไร สักพักเพื่อนเขาก็ปล่อยมือเพราะเขาสามารถทรงตัวเองได้ อยู่ ๆ เขายกมือชี้ทางทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ ทุกคนจึงเดินเรือไปตามทางที่เขาชี้ เมื่อมาถึงจุดที่เขาชี้ลงผิวน้ำก็หยุดเรือแล้วทีมดำก็ดำน้ำลงไป ไม่นานนักญาติก็พาหลานมาถึง ในเวลานั้นเองทีมดำน้ำก็พบศพแล้วเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตขึ้นมาได้ ผู้เขียนได้กล่าวกับร่างนั้นว่า “กลับบ้านเถอะนะครับ” คนที่เป็นร่างทรงก็ทรุดล้มลงอีกครั้งโดยมีเพื่อนเขารับไว้ หลังจากเข้าฝั่ง และเหตุการณ์นั้น ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ร่างทรงพบว่า “เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

เรื่องที่ ๓ ร่างทรงต้มตุ๋น
            ครั้งหนึ่งเพื่อนของผู้เขียนได้รับความเดือดร้อนจากสำนักทรงเจ้าว่าถูกหลอกลวง เพื่อนบังคับให้ผู้เขียนไปดูร่างทรงให้ว่าจริงหรือหลอก จึงจำเป็นต้องไปกับมัน เมื่อไปถึงที่นั้นเป็นสำนักที่ใหญ่มากคงมีเงินทุนหมุนเวียนมากกว่า ๑๐ ล้าน ตอนนั้นอดีตคนรักของผู้เขียนก็ได้ติดตามไปด้วยโดยที่เขาเป็นทหารทำให้อุ่นใจขึ้นบ้างว่าเขาคงไม่อุ้มฆ่าเราง่ายๆถ้าเราไปกวนสำนักทรงเจ้านั้น เขาแอบอิงว่าเป็นร่างทรงของทหารซึ่งเป็นนายพลทัพเรือและกษัตริย์องค์ต่างๆ ผู้เขียนเป็นบุคคลาการทางการแพทย์และศึกษาชีวะประวัติของนายพลท่าน แม้แต่วิชาอาคมของนายพลท่านนั้น ผู้เขียนก็รู้จักเป็นอย่างดี จึงให้ทหารของผู้เขียนไปคุยกับร่างทรงด้วยภาษาต่างประเทศ ร่างทรงเงียบแล้วตอบไม่ได้ ทหารคนดังกล่าวลุกขึ้นแล้วตบหัวด่าร่างทรงนั้นแล้วเดินออกมาอย่างเท่ห์ ผู้เขียนจึงเดินเข้าไปสัมภาษณ์ร่างทรงนั้น เมื่อถามไปถามมาร่างทรงนั้นก็หลุดเผลอ ทำให้ต้องแก้คำพูดตนเองจนเป็นเรื่องตลก ถึงแม้หลายคนจะยังเชื่ออยู่ แต่ผู้เขียนทำให้คนอีกจำนวนหนึ่งตาสว่าง ไม่นานนักผู้เขียนก็ได้รับข่าวว่าร่างทรงนั้นแหกตาชาวบ้านและโดนจับเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องที่ ๔ ร่างทรงสืบศพ
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเที่ยวหาเพื่อนที่เป็นตำรวจ กำลังสังสรรค์ปาร์ตี้น้ำองุ่นกันอยู่เขาก็ได้รับสายให้ไปช่วยค้นหาศพคนถูกฆ่าหมกป่าละเมาะ ถูกแยกเป็นส่วนๆ ลูกน้องของเพื่อนผู้เขียนก็ทำความเคารพนายตน ซึ่งผู้เขียนรู้สึกได้ว่าคนนี้แปลกๆ ระหว่างสืบสวนเขาก็สั่นแล้วก็ชักกระตุก ผู้เขียนเป็นบุคคลากรทางการแพทย์จึงทำการปฐมพยาบาล
B1 : “ช่วยหนูด้วย ช่วยด้วย”
ผู้ชายอะไรแทนตัวเองว่าหนู เสียงก็แหลมขึ้นคงคอแห้ง
ME: “ผมช่วยคุณอยู่เนี่ย คุณชื่ออะไร”
ถามเพื่อประมาณระดับความรู้สึกตัว
B1 : “หนูชื่อเอค่ะ ช่วยหนูด้วยหนูหนาว”
ชัดเลย กูรู้ว่ามึงชื่อซี ผมจึงถอดเสื้อคลุมให้
ME: “น้องจะให้พี่ช่วยอะไรครับ”
เพื่อน “ท่านมีอะไรหรือเปล่า อาการเป็นยังไงบ้าง”
B1 : “ไม่เป็นอะไรมาก แค่กลายเป็นคนอื่น มึงทำตามน้องเขาละกัน”
เพื่อน “หมอก็ดูแลคนไข้ไปสิ กูจะไปดูต่อ”
ME: “เออหนา ฟังน้องเขากับกู”
น้องเขาเล่าให้ฟังเป็นฉากๆแล้วก็เป็นลมไป
เพื่อนอ้าปากค้าง “ท่านเจอเรื่องแบบนี้บ่อยเหรอ”
ME: “กูเจอเป็นปกติ มึงก็ไปหาตามจุดที่น้องบอก มึงก็รู้ชื่อคนร้ายแล้วไปจับซะ”
เพื่อน“ครับคุณหมอ”
ค้นหาซากครบทุกส่วน จับคนร้ายได้ ไม่นานนักคดีนี้ก็ถูกปิด ส่วนตำรวจที่ถูกเข้าสิงก็ปกติดีไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกกับเขา

เรื่องที่ ๕ ร่างทรงซ่อนทรัพย์
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูการทรงเจ้าของคุณยายท่านหนึ่ง ยายแก่หนังเหนียวธรรมดาคนหนึ่งที่ครอบครัวอดีตคนรักเชิญมาบ้านของญาติเขา เนื่องจากก่อนหน้านี้ญาติเขาฝันว่ามีทวดของเขาเก็บซ่อนทรัพย์สินไว้ในบ้านมาบอกให้ตัวเองไปขุดค้นหา แต่ก็ขุดไม่เจอไปหลายหลุมจึงหาร่างทรงมาช่วยหา คืนนั้นร่างทรงทำพิธีร่ายรำเชิญผีครู หมาห่อนหมาเห่าทั้งหมู่บ้าน แล้วคุณยายท่านก็แน่นิ่งไป เดินไปนั่งบนขอนไม้ เราทุกคนตามไปอย่างเงียบๆ คุณยายก็พูดพึมพำกระทืบกิ่งไม้ข้างๆเท้าหัก แล้วโยนเข้ากองไฟเก่าที่ดับแล้วด้วยฝีมืออดีตคนรักผู้เขียนเอาน้ำสาดไป ๓ ถังจนดับ ไฟกลับลุกขึ้นมาใหม่ ชัดเจนเจอของจริงแล้ว
“หมอไม่ต้องพิสูจน์ เดี๋ยวหมอก็รู้เอง” ยายแก่เสียเปลี่ยนเป็นตาแก่
ผู้เขียนกำลังท่องคาถาในใจ จากสิ่งที่ได้ศึกษามาผู้เขียนต้องพิสูจน์
“ปู่ของพ่อเจ้าเอาของมีค่าใส่ไหฝังไว้หลังต่อต้นกุม กลางคุ้มที่นี่ บัดนี้เหลนเดือดร้อนปู่จะให้อัฐให้เงินเจ้าไว้ใช้”
“เป็นเครื่องเงินและทองสร้อยนะหมอท่าน” ผู้เขียนกำลังจะเอ่ยปากถามแต่คุณยายตอบเสียก่อน
“ไม่แคลงใจ คนรักของพ่อหนุ่มรักพ่อหนุ่มมาก” คุณยายหันไปพูดกับคนข้างทำเอาคนได้ยินสองคนหน้าแดงก่ำ
“ผัวมึงเป็นที่ตับ ไปหาหมอแล้วผัวมึงจะหายดี” ยายแก่พูดกับผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ 
“พวกเจ้าจงทำความดีละเว้นความชั่ว พ่อหนุ่มจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองให้มาก ให้สมกับที่ปู่ย่าตายายของพวกเจ้าปกปักษ์แผ่นดินสืบมา” คุณยายก็คอพับลง
            จากการสนทนาไม่มีใครพูดหรือถามใดๆเลย มีเพียงยายคนเดียวที่ตอบคำถามที่แต่ละคนอยากรู้ หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้สนทนากับคุณยาย ไม่นานนักทุกคนก็พบไหจริงและข้างในบรรุจุเครื่องเงินทองรูปพรรณ อดีตคนรักของผู้เขียนได้มา ๓ ชิ้น เขามอบให้ผู้เขียนไว้ ๒ ชิ้น ซึ่งตอนนี้ที่อดีตคนรักของผู้เขียนเสียไปแล้ว ผู้เขียนก็ได้เก็บไว้อย่างดีทั้ง ๓ ชิ้น

เรื่องที่ ๖ ร่างทรงปราบผีปอบ
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวกับอดีตคนรัก เราไปทางภาคอีสาน บังเอิญเขากำลังมีอาการรักษาผู้ป่วยกระเซาะกระแซะแบบวิธีโบราณ ชาวบ้านบอกว่าคนไข้โดยผีปอบเข้าสิง ผู้เขียนจึงขออนุญาตดูอาการคนป่วยที่นอนบนแคร่อาการคล้ายไข้ป่า ชาวบ้านได้พาไปรักษาโรงพยาบาลแล้ว พออาการคล้ายจะดีขึ้นหมอจึงให้กลับบ้าน เมื่อกลับบ้านก็ป่วยอีกกลับไปกลับมาระหว่างบ้านหลายครั้ง ในที่สุดก็ลองพึ่งความเชื่อมาช่วยรักษาอีกทางควบคู่กับหมอแผนปัจจุบัน ชาวบ้านและญาติผู้ป่วยตระเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งผู้เขียนช่วยพับบายศรีร้อยมาลัยดอกไม้และทหารอีกคนก็ช่วยตัดไม้ไผ่เหลาไม้ไผ่กับชาวบ้าน ระหว่างนั้นผู้เขียนก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับผีฟ้าผีแถนโดยลงพื้นที่จริงว่าเหมือนกับในตำราที่เขาบอกเล่าหรือเปล่า เมื่อเตรียมของแล้วเสร็จก็ประกอบพิธีช่วงพลบค่ำ ก็มีการเข้าทรงผีฟ้า เสียงแคนดังขึ้นหลังจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็ลุกขึ้นลำ ไปมาตอนนั้นผู้เขียนก็ไหวไปกับเสียงแคน ขาแดนซ์กำลังมา ดีที่ทหารจับไว้ ผู้เขียนที่กำลังลุกจึงลงมานั่งตักทหารแทน ความรู้สึกในตอนนั้นผู้เขียนรู้สึกสบายตัวมาก และรู้สึกดีเป็นที่สุด เหมือนโลกรอบข้างอะไรๆก็ดีไปหมด ไม่นานก็เสร็จพิธี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้เขียนจึงขออนุญาตดูผู้ป่วยอีกครั้ง ผู้ป่วยมีกำลังใจขึ้นมาก และอาการก็ดีขึ้นจากเมื่อตอนเช้า การรักษาแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ทำให้คนไข้มีกำลังใจต่อสู้โรคได้ดีมาก

เรื่องที่ ๗ ร่างทรงหน้าปลวก
            ครั้งหนึ่งเพื่อนของอดีตคนรักผู้เขียนชวนผู้เขียนไปดูการแสดงโชว์หน้าจอมปลอม พวกเขาอ้างว่าเป็นร่างทรงของเทวดาสูงสุดองค์หนึ่งในพราหมณ์ฮินดู ซึ่งท่านได้มาสถิตนั่งที่จอมปลวกแล้วก็มาเข้าทรงพวกเขา เมื่อไปถึงพิธีกรรมทำไปแล้วมีเทพเจ้ากำลังเข้าทรงอยู่ บัลลังก์ตั้งอยู่หน้าจอมปลวกมีคนใส่ชุดคอสตูมเทพเจ้านั่งอยู่ ผู้เขียนรู้ในทันทีว่าของปลอม จึงเดินเข้าไปนั่งแล้วถามคำถามใกล้ๆ ถามไปถามมาฝ่ายร่างทรงเริ่มหงุดหงิดแล้วโกรธชี้หน้าด่าผู้เขียน ร่างทรงก็ง้างเท้าขึ้นมากำลังจะถีบหน้าผู้เขียน แต่อดีตคนรักขยับตัวไปจับแข้งกระชากลงจากบัลลังก์สลบคาพื้นไปเสียก่อน เราจึงแหวกหนีกลับจากฝูงคนคณะศรัทธาร่างทรงองค์นั้น ผู้เขียนมีความซะใจเบาๆ ทีแรกจะเห็นแก่จรรยาบรรณเข้าไปช่วยแต่โดนคนของสำนักขวางไว้ซะก่อน

เรื่องที่ ๘ ไม่น่ามาใช่ร่างทรง
            ครั้งหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปดูโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง บุคคลากรทางการแพทย์แห่งนั้นเป็นผู้ชวนให้ไปพบกลุ่มคนที่เป็นร่างทรงของเทพเจ้าซึ่งมากันทั้งสวรรค์ คราวเดินเข้าไปในห้องพิเศษเห็นคนที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนฟอร์มคนไข้ทั้งหมดกำลังฟ้อนรำ พูดกันคนละเรื่องแต่คุยกันรู้เรื่อง สุดท้ายการไปครั้งนั้นก็ไม่ได้มีเนื้อหาสาระใด ๆ เลย ไม่รู้ว่าไปทำไม

อวสานบท
   ศรัทธาและความเชื่อ การเลื่อมใสและนับถือล้วนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาแต่ในอดีต เมื่อปรุงแต่งเรื่องราวด้วยความรู้สึกนึกคิด ภายใต้เงื่อนไขของเหตุผลความกลัว ความต้องการ และความทุกข์ ทำให้เกิดความเชื่อ หากถึงวิกฤตศรัทธาและความเชื่อ เมื่อนั้นความคิดและสังคมจะถูกกลืนเข้าไปสู่ความเชื่อเหล่านั้น แล้วเกิดคำถามว่าจริงแท้หรือหลอกลวง สิ่งที่เห็นเป็นจริงจะถูกยอมรับ ส่วนสิ่งที่คิดว่าหลอกลวงจะถูกกำจัดทิ้ง ตราบใดที่ความกลัวยังมีอยู่ ศรัทธาและความเชื่อจะยังอยู่คู่ความกลัวเหล่านั้น  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น