ยาสั่ง (ยาสั่งให้มีอันเป็นไปตามใจนึก)

ยาสั่ง
       ยาสั่ง เป็นยาพิษชนิดหนึ่งที่นิยมในกันมากในหมู่ชาวเขาเผ่าต่างๆในภาคเหนือ และชาวไทย-เขมร ในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ โดยเฉพาะบริเวณอำเภอสังขะและอำเภอขุขันธ์ ในอดีตสมัยที่ยังไม่มีโรงพยาบาล และบริการสาธารณสุขแผนใหม่เข้าไปสู่ชุมชนนั้น ชาวบ้านในเขตพื้นที่ดังกล่าวจำนวนไม่น้อยที่กล่าวได้ว่าล้มตายไปเพราะถูกยาสั่ง จนทำให้เกิดความหวาดระแวงหวาดผวากันตลอดเวลา การคบหาสมาคมระหว่างกันก็ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบันนี้ชาวบ้านเห็นว่าไม่มีความจำเป็นอีกแล้วที่จะต้องทำลายล้างกันด้วยยาสั่ง จึงได้ลดความสนใจลง และเชื่อกันว่าผู้ที่เรียนวิชาอาคมประเภทนี้จะหาความเจริญมาสู่ตนนั้นไม่ได้ มีแต่จะทำให้ชีวิตตนและครอบครัวไปสู่ความหายนะ ดังนั้นในหมู่คนรุ่นใหม่ปัจจุบันจึงมีคนเล่าเรียนวิชาเหล่านี้เป็นจำนวนน้อยที่ได้สืบต่อมาจากคนรุ่นเก่าก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักเลงอันธพาลและอีกประการหนึ่งคนรุ่นเก่าที่มีวิชาเหล่านี้อยู่ก็สำนึกได้ว่าการมีวิชาพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดี ถ้าใช้ไม่ระมัดระวัง และดูแลรักษากิจวัตรปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว จะเป็นอันตรายต่อตัวเอง จึงไม่นิยมถ่ายทอดให้ใครอื่นอีกต่อไป
      
อย่างไรก็ตามจากการบอกเล่าของชาวบ้าน พบว่าชาวบ้านยังมีความเชื่อและหวาดกลัวเรื่องนี้อยู่มาก และสามารถที่จะบอกได้ว่าใครบ้างที่มีวิชายาสั่งอยู่ในขณะนี้ จากสภาพที่พบเห็นพวกนี้จะแยกตัวเองอยู่โดดเดี่ยวจากสังคม เช่น ทำกระท่อมอยู่ตามหัวไร่ปลายนาบ้างหรือไม่ก็อยู่ห่างจากชุมชนพอประมาณ การคบหาสมาคมกับชาวบ้านอื่นๆจะมีน้อย เนื่องจากไม่มีชาวบ้านคนไหนอยากจะคบด้วย เพราะกลัวจะถูกยาสั่ง ในด้านบุคคลิกส่วนตัวก็จะดูแปลกกว่าคนอื่น คือมีความหวาดกลัว เคร่งเคียด ไม่ไว้ใจใคร มีแววตาที่บ่งบอกว่ามีอำนาจอยู่ในตัว ทำให้เกิดความน่ากลัวต่อผู้พบเห็น ส่วนการดูแลรักษาตนเองนั้นค่อนข้างจะมีน้อย จะปล่อยผม เล็บยาว และอาบน้ำไม่บ่อยนัก ดูแล้วผิดแปลกไปจากชาวบ้านอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีวิชายาสั่งจะเป็นแบบนี้ บางคนก็อยู่ในชุมชน คบหาสมาคมกับชาวบ้านแบบสามัญชนคนธรรมดา ไม่ผิดแปลกอะไรจากคนอื่นๆ
ประเภทของยาสั่ง
ยาสั่งที่ชาวบ้านเชื่อกัน และใช้ทำร้ายกันอยู่มี ๒ ประเภท คือ
      
๑. ยาสั่งชนิดที่เมื่อผู้ใดได้รับแล้วจะตายภายใน ๒-๓ ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ถ้าหากไม่สามารถเยียวยารักษาไว้ได้ทัน ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือยาพิษ หรือยาเบื่อนั่นเอง เมื่อยาสั่งเข้าไปในร่างกายของผู้ถูกใส่แล้ว ยาก็จะออกฤทธิ์ ทำให้มีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ง่วงซึม อาเจียน ขบกราม นอนนิ่ง และหลับไปเลยไม่ฟื้น ซึ่งชาวบ้านจะไม่ค่อยนิยมใช้ยาสั่งประเภทนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากเรงว่าผู้ถูกใส่ยาจะสงสัย หรือล่วงรู้เพราะยาสั่งออกฤทธิ์เร็วเกินไป
      
๒. ยาสั่งชนิดที่เมื่อรับเข้าไปแล้ว จะออกฤทธิ์หรือมีผลต่อเมื่อรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่จะทำปฏิกิริยากับยาสั่งนั้นเข้าไป จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรนั้นแล้วแต่ผู้ที่ใส่ยาสั่งนั้นจะประสงค์ เช่น เหล้า เนื้อวัว หน่อไม้ เนื้อไก่ เป็นต้น ถ้าไม่กินสิ่งเหล่านี้เข้าไปจะไม่เกิดผลแต่อย่างใด ไม่ว่าจะนานกี่ปีกี่เดือน ชาวบ้านส่วนใหญ่จะนิยมใช้ยาสั่งประเภทนี้ และเมื่อพูดถึงยาสั่งแล้วเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นยาสั่งชนิดที่ว่านี้
ลักษณะของยาสั่ง
       ลักษณะของยาสั่งที่นิยมใช้กันมากได้แก่ ชนิดที่เป็นผงสีเทา ซึ่งประกอบไปด้วยยาหลายชนิดแล้วแต่ผู้ทำว่าจะใช้สูตรใด บางสูตรก็มี ๓ ชนิด บางสูตรก็มี ๖-๗ ชนิด ส่วนรายละเอียดของตัวยาว่ามีอะไรบ้างผสมกับอะไรนั้น ผู้เขียนไม่อาจจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวนั่นได้ ซึ่งถ้าจะเรียนรู้จริงต้องยอมตนเป็นลูกศิษย์เสียก่อน แต่อย่างไรก็ดี ตามที่พอจะเปิดเผยได้ก็พอมีอยู่ ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมของยาสั่งประกอบด้วยพืชและสัตว์บางชนิด หรืออาจจะใช้ทั้งพืชและสัตว์ผสมกัน ส่วนที่ผสมจากพืชนั้นเช่น
      
๑. ผลของต้นสบู่ดำ
      
๒. หัวกระเทียมบดใส่ขวดฝังดินไว้เอาส่วนที่เป็นเชื้อราใช้
      
๓. รากมะกอก
      
๔. รากจำปูเม็ดสีแดงเห็ดร่างแห
      
๕. หัวต้นหนอนตายหยาก
      
๖. ฯลฯ บางชนิดใช้ลำต้นเสียบเนื้อย่างให้รับประทาน จะทำให้ผู้รับประทานนั้นนอนหลับตาย
ส่วนผสมที่มาจากสัตว์นั้น เช่น ดีนกยูง ดีปลาช่อน ปั๊วแดง คางคกแดง จิ้งเหลนแดง ค้างคาวแดง หนูหริ่งหรือหนูยวง หัวงูเห่า
      
นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมที่เป็นสารเคมี เช่น น้ำกรด ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า วิธีการปรุงยาสั่งส่วนใหญ่จะเอาส่วนผสมเหล่านั้นย่างไฟ แล้วเอามาบดรวมกัน เอาให้สัตว์กินเข้าไป เมื่อสัตว์นั้นตาย เอาสัตว์นั้นไปย่างให้กรอบ แล้วนำมาบดเป็นผง แล้วนำไปปลุกเสกตามวิธีทางไสยศาสตร์ เวลาจะสั่งให้ใครตาย ก็นำยานั่นผสมกับน้ำหรืออาหารให้ดื่มกินเข้าไป ยานั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีขึ้น ถ้ารักษาไม่ทันก็ต้องตายในที่สุด
นอกจากนี้ยาสั่งยังมีลักษณะเป็นผงสีเทาดังกล่าวแล่วยังมีชนิดอื่นๆ เช่น ชนิดเม็ด ชนิดผงสีแดงหรือสีอื่นๆ ตามส่วนผสมของสมุนไพร ที่ผู้ปรุงยาต้องการให้เป็นชนิดน้ำหรือชนิดผง แม้แต่ชนิดที่เป็นยางเหนียวๆ คล้ายครีมหรือวาสรีนก็มี ซึ่งแต่ละอย่างแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการใช้ที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าต้องการใส่กับเหล้าให้กิน ก็ต้องใช้ยาชนิดผงที่มีสักษณะสีเทาคล้ายกับเหล้าสาโท และถ้าต้องการใส่กับอาหารก็อาจจะใช้ประเภทน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาและโอกาสของผู้ที่จะใส่ยาสั่งนั้นต้องการอย่างไร เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วจะเห็นว่ายาสั่งนั้นมีลักษณะดังนี้
      
๑. ผง เป็นผงสีเทา หรือสีอื่นๆ ตามส่วนผสมของสมุนไพร
      
๒. เม็ด เป็นเม็ดสีเทา หรือสีอื่น ตามส่วนผสมของสมุนไพร
      
๓. น้ำ หรือยางเหนียวๆ
      
๔. เป็นส่วนผสมของของตัวยาที่ทำจากพืชและสัตว์หลายชนิดรวมๆกัน
      
๕. เป็นสารพิษในตัวเอง เป็นสารพิษในตัวเอง เมื่อกินไปแล้ว แก้ไขรักษาไม่ทันอาจถึงตายได้
วิธีใส่ยาสั่ง
       เนื่องจากยาสั่งเป็นสารที่มีพิษและเป็นอันตรายต่อผู้ได้รับสารนั้นเข้าไป การใส่ยาสั่งก็คือการทำให้ยานั้นเข้าไปอยู่ในร่างกายของผู้ที่จะถูกใส่ เช่น ใส่ปนเข้าไปกับอาหาร เครื่องดื่ม หรือของกิน ของขบเคียวทุกชนิด โดยซ่อนไว้ไม้ให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัว ส่วนใหญ่มักใส่ลงในเหล้า ในขณะที่นั่งดื่มด้วยกัน โดยซ่อนตัวยาไว้ที่ปลายเล็บของนิ้วโป้งหรือนิ้วหัวแม่มือ เวลารินเหล้าและยกแก้วเหล้าให้กิน ก็จะจับแก้วเหล้าแล้วถือโอกาสจุ่มปลายนิ้วหัวแม่มือลงไปในแก้ว ตัวยาก็จะละลายอยู่ในน้ำเหล้า ในกรณ๊ที่คนดื่อมเหล้าไม่ได้ หรือไม่ดื่มเหล้าก็ใส่ยาสั่งลงไปในอาหาร หรือเครื่องดื่มในขณะที่ผู้ที่จะถูกใส่ลืมตัวเผลอตัว ไม่คิดระแวงในเรื่องนี้ เมื่อใส่ยาสั่งเข้าไปในอาหารและดื่มกินเข้าไปในร่างกาย โดยส่วนใหญ่ยาสั่งจะไม่ออกฤทธิ์ทันที ซึ่งการออกฤทธิ์จะอาศัยผู้ใส่ยาจะไปทำพิธีทางไสยศาสตร์ โดยร่ายมนต์คาถา บางคนใช้หุ่นขี้ผึ่งแทนตัวผู้ถูกใส่ยาสั่งวางไว้หน้าโต๊ะพิธี แล้วเสกคาถาใส่หุ่นขี้ผึ่งนั้น ปล้วก็สั่งไปว่าจะให้ผู้ถูกใส่ยาสั่งมีอาการเป็นอย่างไร จะให้ตายเร็วหรือตาช้าๆอย่างทรมาน หรือจะให้ตายเฉพาะกินอาหาร หรือเครื่องดื่มชนิดใดลงไป ซึ่งเป็นชนิดที่สั่งกำกับมากับตัวยาสั่งชนิดนั้นๆ และเมื่อผู้ถูกใส่ยาสั่งไปกินอาหาร หรือเครื่องดื่มชนิดนั้นเข้าไปเมื่อใด ยาสั่งก็จะออกฤทธิ์ภายในหนึ่งวันหรือหนึ่งคืนหลังจากกินอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดนั้นเข้าไป
วิธีป้องกันยาสั่งและรักษาเบื้องต้น
       ชาวบ้านส่วนใหญ่นอกจากหมอทางไสยศาสตร์แล้ว ไม่มีใครรู้วิธีการป้องกันรักษาเมื่อถูกยาสั่งเลย แต่เชื่อกันว่ามีทางป้องกันรักษาโดยหมอไสยศาสตร์เท่านั้น ส่วนหมอแผนปัจจุบันยังไม่เชื่อว่าจะสามารถรักษาได้ เพราะเท่าที่ผ่านมาก็จะทำการรักษากันเองตามแบบไสยศาสตร์ โดยคาถาอาคมควบคู่กับสมุนไพรบางชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดต้ม และชนิดผงใส่น้ำดื่ม หลังจากดื่มแล้วก็จะถ่ายและอาเจียนออกมาหมด เหมือนกับการกินยาถ่ายและวันต่อมาก็จะหายเป็นปกติ
สำหรับตัวยาที่ใช้ป้องกันรักษาเมื่อถูกยาสั่งนั่นเท่าที่จะสังเขปออกมาได้มีดังนี้
      
๑. ป้องกันก่อนดื่มหรือกินน้ำอาหารนั้น ต้องทำการทดสอบก่อนว่าในนั้นมียาสั่งเจือปนอยู่หรือไม่ ซึ่งทำได้โดยการเอางาช้างที่ตัวมันเองไปแทงหักไว้กับต้นไม้ แล้วนำงาช้างนั่นออกมาให้อาจารย์ไสยศาสตร์ลงของหรือลงคาถาให้ ซึ่งเมื่อลงคาถาปล้วเชื่อว่าเป็นของดี ไปไหนมาไหนถือติดตัวไปด้วย เมื่อเวลาสงสัยว่าในอาหารมียาสั่งปนอยู่หรือไม่ก็ เอางาช้างนั้นจุ่มลงไปในอาหารนั้น ถ้าหากงาช้างปกติแสดงว่าไม่มีอะไร แต่ถ้าหากงาช้างนั้นเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีคล้ำก็แสดงว่าในอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมียาสั่ง ก็ให้งดอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นเสย หรือหากเผลอกินเข้าไปแล้วต้องรีบไปหาหมอทางไสยศาสตร์มารักษาทันที ไม่เช่นนั้นอาจตายได้
      
ในบางครั้งอาจจะใชโลหะเงินตรวจดูซึ่งปกติแล้วยาพิษจะทำปฏิกิริยากับเงินเป็นสีดำคล้ำ แต่โดยการทดสอบหายาสังบางประเภทแม้จะใช้เงินตรวจ หรือตรวจด้วยวิธีอื่นแบบหายาพิษโดยทัวไปบางครั้งก็ไม่อาจจะพบได้ ยาสั่งบางชนิดไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ด้วยวิธีการหายาพิษในอาหรเช่นปัจจุบัน เห็ดพิษอาจจะตรวจสอบด้วยกระเทียมหรือข้าวสาร แต่ถ้าถูกนำมาทำเป็นยาสั่งก็ไมอาจจะจับได้ว่ามียาพิษ
      
หลักการตรวจสอบที่ตายตัวจริงๆนั้น ท่านให้ใช้จิตทีฝึกมาดีแล้ว ตรวจด้วยสมาธิ และคถกันคุณไสย์ต่างๆก็สามารถใช้จับทิศกรหาว่าในอาหารนั้น พิจารณาว่ามียาสั่งอยู่หรือไม่ก็ทำได้
       ๒. เมื่อเผลอกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มียาสั่งปนอยู่เข้าไปแล้ว ก็ให้รีบไปหาหมอทางไสยศาสตร์หรืออาจจะใช้ตัวยาสมุนไพรต่อไปนี้มาต้มกินหรือฝนกับน้ำให้กิน ซึ่งสามารถช่วยชีวิตไว้ได้เช่นกันหรืออาจจะถ่วงเวลาได้ในระยะหนึ่งกว่าจะหายาแก้ยาสั่งนั้นได้
      
๒.๑ ชนิดยาต้ม ปนะกอบไปด้วยสมุนไพร ๔ ชนิด และมีการเสกคาถาอาคมใส่เข้าไปด้วย ได้แก่
             
๑. สารส้มเขียว
             
๒. ต้นประเดียลกรัญ หรือโลทนงแดง
             
๓. ต้นตระยอง หรือ ประยงค์ป่า หรือพระเจ้าห้าพระองค์
             
๔. ว่านพญาขาว ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
      
๒.๒ ชนิดฝนกับน้ำมี ๕ ชนิด ได้แก่
             
๑. สารส้มเขียว
             
๒. รากขปงต้นรุไร หรือเสลดพังพอนตัวผู้
             
๓. ต้นและรากของรุกัด
             
๔. รากของต้นตะขบ หรือตะขบ
             
๕. พระเจ้าห้าพระองค์
      
๒.๓ ชนิดว่าน ใช้ใบว่านจืด หรือ รางจืด ประมาณ ๑๒ ใบ ตำผสมน้ำซาวข้าวประมาณ ๖ ช้อนโต๊ะ หรือจะใช้รากรางจืดฝนกับน้ำซาวข้าวให้ดื่มก็ได้ จะทำให้ผู้ถูกยาสั่งปลอดภัยได้ภายใน ๑ ชั่วโมง


1 ความคิดเห็น:

  1. ต้องการเรียนรู้วิชา แต่ต้องการเป้นลูกิต ต้องทำยังๆงคะ ชอบด้านนี้เป็นพิเศษตั่งแต่เด็กเเล้วค่ะ

    ตอบลบ