๑๐ อันดับ ไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัว

๑๐ อันดับ ไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัว

           ผมได้จัดอันดับเขียนบทความ ๕ อันดับไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ออกเผยแพร่ออกไป มีผู้สนใจเข้ามาศึกษาและเปรียบเทียบ ให้ความเห็นวิพากษ์วิจารณาเป็นอันมาก  ผมจึงได้ต่อยอดจากการศึกษาไสยศาสตร์ของโลกในหนังสือต่างๆ บทความต่างๆ และวิทยานิพนธ์ทางศาสนาที่เชื่อมโยงกล่าวถึงไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ใคร่จะหาได้มาก ผมเลือกการศึกษาจากของจริงโดยนำตำราต่างๆที่เป็นไสยศาสตร์มาหัดฝึกฝน แต่ก็ไม่ใคร่จะเห็นผลเท่าไหร่นัก ด้วยการอ้างอิงจากประสบการณ์ ความคิดเห็น จึงนำมาจัดอันดับ ๑๐ ไสยศาสตร์ เกณฑ์ที่ใช้เป็นเชิงคุณภาพ อนุมานเป็นตัวเลขไม่ได้ เพียงอุปมาว่าแบบนี้น่ากลัวกว่าจึงให้อันดับตามความคิดเห็นของผมเอง ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความคิดเห็นของบุคคลอื่นก็เป็นได้ เนื่องจากข้อมูลเป็นเชิงความรู้สึกนึกคิดและความใกล้ตัวจึงเป็นการยากแก่การจัดอันดับ ส่วนใหญ่ไสยศาสตร์จะปรากฏอยู่ทางตะวันออกมากว่าตะวันตก เนื่องจากประวัติศาสตร์ของตะวันตกมีการทำลายเวทมนต์และตำราต่างๆไปมาก ทั้งในกรีกก็มีการเผาหอสมุดทำให้ศิลปวิทยาหลายอย่างเหลือน้อยลงและเวทมนต์เป็นเรื่องงมงายเป็นแค่ความเชื่อที่ล้าหลัง แล้วหันหน้าเข้าหาวิทยาศาสตร์อันเป็นสิ่งตรงกันข้าม ส่วนในทางตะวันออกกลับเฟื่องฟูไม่มีการขัดขวาง กีดกัน หรือทำลายไสยศาสตร์ ศาสตร์แห่งความเชื่อ จากลำดับความคิดจึงจัดอันดับออกมาได้ดังนี้ 
อันดับที่ ๑๐ ไสยศาสตร์ปลอม ความงมงายของทุกชาติ ทุกศาสนา
       ไสยศาสตร์ประเภทหนึ่งที่มีอยู่ทั่วไป กระทำโดยผู้ที่อ้างว่ามีวิชาอาคม และเป็นที่รู้จักกันในนาม สิบแปดมงกุฎก็ดี หรือ ร้อยแปดมงกุฎก็ดี เป็นที่รู้กันว่าพวกนี้อาจจะมีวิชาแบบนกแก้วนกขุนทอง แล้วเอามาใช้หากินหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อ ต้มตุ๋นอย่างงมงาย ไร้เหตุผล ไร้ศรัทธา ซึ่งมักแสวงหาผลประโยชน์ผลกำไรมากกว่าการกระทำไสยศาสตร์ แค่ไสยศาสตร์ก็เป็นความเหลวไหลแค่ไหนแล้ว แต่ไสยศาสตร์ที่กุขึ้นมายังมีอยู่และเหลวแหลกที่สุด ซึ่งไสยศาสตร์ประเภทนี้อาศัยแค่ความงมงาย ไม่มีรากเหง้าของความเชื่อ เมื่อกระทำคุณไสย์นี้แล้วไม่สัมฤทธิ์ผลหรือไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จึงทำให้ไสยศาสตร์ปลอมนี้ ไม่มีความน่ากลัว แต่อาจจะเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็ได้ หากว่าผลกำไรและประโยชน์ที่ถูกหลอกลวงด้วยไสยศาสตร์ประเภทนี้กอบโกยเอาไปจนผู้ที่งมงายหลงเชื่อได้หมดตัวทั้งทรัพย์สิน เงินทองและสมบัติ แม้กระทั่งชีวิตก็อาจจะไม่เหลือ ให้ระวังให้ดีเงินในกระเป๋าคุณหมดหดหายอย่างไร้มนุษยธรรม นั่นแหละน่ากลัวมาก

อันดับที่ ๙ มนตรยาน วัชรยาน ตันตรยาน จากศาสนาพุทธ ในธิเบต จีน ไทย
       วัชรยาน ในศาสนาพุทธ เกิดในอินเดีย หลังจากเกิดเถรวาทหรือหินยานและมหายาน ก็เกิดการผนวกรวมกันของศาสนาพุทธนิกายมหายานกับศาสนาฮินดู เป็นวัชรยาน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตันตรยาน มีคำสอนที่สลับซับซ้อนขึ้น รวมเอาความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์ฮินดูเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดความหลากหลายทางความเชื่อ ได้เผยแพร่ไปทางทิเบต จีน ญี่ปุ่น และเข้ามาในไทยอีกด้วย ในวัชรยาน หรือตันตรยานนี้เชื่อเรื่องเทพเจ้าต่างๆและปิศาจต่างๆ พระพุทธะในปางแปลกๆ เช่นปางเสพสังวาส เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ในทางเสน่ห์ ความลุ่มหลงในกาม และมนตรยานก็ให้คำสอนเน้นหนักไปมันตราหรือมนตรา ที่เป็นเวทมนต์คาถา สวดท่องเพื่อให้เกิดความสัมฤทธิ์ผล แต่ทุกนิกายรับเอาคำเชื่อเรื่องพุทธะ อรหันต์ นิพพาน เข้าไว้สูงสุดคือไม่เบียดเบียนผู้อื่น ในไสยศาสตร์นี้จึงไม่มีอะไรรุนแรง อย่างมากก็เพื่อทางโลกเช่นความรัก ความโลภ ไม่มุ่งเน้นให้ฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง จึงมีความน่ากลัวน้อยมาก

อันดับที่ ๘ องเมียว องเมียวโด จากลัทธิเต๋า ในญี่ปุ่น
องเมียวจิผู้พลังเหนือธรรมชาติ
                        สัญลักษณ์ในการร่ายเวทย์ดาวห้าแฉกหมาถึงธาตุทั้ง ๕
                         และสัญลักษณ์ในการร่ายอัครเก้าพยางค์ คุชิอินไล่ผี

    วิถีปฏิบัติแห่งองเมียว โดยญี่ปุ่นการรับอิทธิพลและวัฒนธรรมจากจีน มีการเผยแพร่เข้ามาพร้อมๆกับศาสนาพุทธนิกายวัชรยานหรือตันตรยาน และนิกายเซน กับศาสนาชินโต ทำให้เกิดการผนวกผสมผสานกัน องเมียวโดนี้เน้นที่เวทมนต์คาถา ปลุกเสกเลขยันต์ คำสาปแช่ง และโหราศาสตร์ เป็นส่วนสำคัญในระบบราชการที่ปกครองโดยโชกุน หรือกษัตริย์ปกครอง องเมียวเป็นนักพรตที่ให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์ และประกอบพิธีกรรมต่างๆ การที่ลัทธินี้มีความน่ากลัวอยู่น้อยมากเป็นเพราะความเหมือนกันและความต่างกันของความเชื่อในศาสนาพุทธนิกายเซน หักล้างกับลัทธิเต๋า ทำให้ลัทธิองเมียวมีแนวปฏิบัติแบบลัทธิเต๋า มากกว่าที่จะเป็นวิชาเหมาซานในประเทศจีน ถึงองเมียวจะมีคาถาเวทมนต์แต่การให้ผลกับเป็นการช่วยเหลือมากกว่าที่จะทำลาย ทำร้ายผู้คน และเป็นศาสตร์ที่ทำลายกำจัดสิ่งชั่วร้ายจำพวกภูตผีปิศาจ แต่บ่อยครั้งที่การปราบผีต้องทำร้ายผู้คนก็มี จึงพอจะมีความน่าสะพรึ่งกลัวอยู่บ้าง

อันดับที่ ๗
paranormal spell and mage จากยุโรป
 แม่มดไซซีเสนอถ้วยยูลิสซีที่มียาพิษ     มนต์เมอร์เขียนด้วยภาษาเยรอมันเก่า
 ซึ่งเธอพยายามทำให้ทุกคนตกอยู่ใต้มนต์สะกด

  จอห์นดีและเอ็ดเวิร์ดเคลลี่ปลุกวิญญาณ โดยอ้างว่ามีความรู้ที่มีมนต์ขลัง
      เวทมนต์ พ่อมดแม่มด หมอผี เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวยุโรป ปรากฏในตำนานปรัมปรา เรื่องเล่าต่างๆ โดยมักประกอบด้วยผู้วิเศษ มีพลังวิเศษมีอำนาจวิเศษ เรียกว่าพ่อมด ระดับความรุนแรงจะน้อยจะมากขึ้นกับความชั่วที่มีอยู่ในแต่ละบุคคล ในแต่ละพ่อมดแม่มด ซึ่งพวกมีพลังวิเศษตามความเชื่อของชาวยุโรปนั้นออกจะเป็นพระเอกที่แสนดี เช่น พ่อมดเมอร์ลิน เป็นต้น ในการใช้เวทมนต์นั้น เป็นคาถาหรือวลี ประโยคที่มีอำนาจ บัลดาลให้เกิดสิ่งต่างๆตามหารให้ผลของคาถานั้นๆ การเสกสิ่งมีชีวิต การใช้สัตว์ร้ายทำร้ายคนอื่น การใช้ยาพิษจากพืชมีพิษจากสัตว์มีพิษที่ปรุงด้วยเวทมนต์คาถาในการทำร้ายคนอื่น หรือฆ่าคนอื่น และการรักษาโรคด้วยเวทมนต์คาถาต่างๆ มีกรอบเวทย์และไม้กายสิทธิ์ หรือของกายสิทธิ์ที่มีอำนาจวิเศษในตัว ไสยศาสตร์ประเภทนี้เฟื้องฟูมากแต่กลับถูกทำลายโดยศาสนาคริสต์และอิสลามในภายหลัง เผาตำราและเผาแม่มด จึงทำให้เสื่อมโทรม ถดถอยลงจากยุคสมัยนั้น ปัจจุบันมีเหลืออยู่น้อยนิดและปรากฏกล่าวขานกันในลักษณะตำนานเสียมากกว่าจะออกจากตำราหรือหนังสือมาทำร้ายคนอื่น เข้าเกณฑ์เสือกระดาษ ผู้ดีในตำรา ผู้ร้ายในหนังสือ เอามาใช้จริงไม่ค่อยเห็นผล พ่อมดแม่มดเหลือน้อยเต็มที  

อันดับที่ ๖ คลาวิคิวลา ซาโลมอนิส  กุญแจย่อยของโซโลมอน จากคริสต์ 
วงเวทย์ circle of magic ของกษัตริย์โซโลมอน ในหนังสือ Key of solomon

       กษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่า โซโลมอน ปกครองสหราชอาณาจักรอิสลาเอล เป็นองค์ท่สามและองค์สุดท้ายก่อนที่อิสลาเอลจะแยกราชอาณาจักร โซโลมอน พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ทรงอำนาจ ความมั่งคง และความปรีชาสามารถ ความฉลาดของพระองค์ลือกันไปทั่วว่า พระองค์ทำพันธสัญญากับปีศาจ แต่จริงๆแล้วพระองค์กลับมีอำนาจเหนือกว่าปิศาจพวกนั้น สามารถใช้ปิศาจพวกนั้นได้ทุกตัว ทั้ง ๗๒ ตน เป็นฐานให้พระองค์มีอำนาจและความมั่งคั่ง สามารถสร้างพระวิหารโซโลมอนขึ้นหลังแรกในกรุงเยรุซาเล็ม และพระองค์ได้ศึกษาไสยศาสตร์ ประดิษฐ์ตราประจำตัวของพระองค์เรียกว่า
Seal of Solomon ที่เป็นวงแหวน ทำเป็นตราในราชอาณาจักรและตราของพระองค์ ทำเป็นเหรียญตราต่างๆ และกำหนดตราเหล่านั้นแก่ปิศาจเพื่อให้พระองค์เรียกใช้งาน
       ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการประพันธ์ตำราเวทย์เล่มหนึ่งโดยไม่ระบุผู้แต่ง หนังสือนั้นชื่อว่า
Key of Solomon หรือ คลาวิคิวลา ซาโลมอนิส  Clavicula Salomonis กุญแจของโซโลมอน และกุญแจย่อยของโซโลมอน กล่าวถึงพันธะสัญญาระหว่างปิศาจที่กษัตริย์โซโลมอนทรงกระทำและทรงประดิษฐ์ Seal of Solomon การใช้เวทย์ควบคุมปิศาจทั้ง ๗๒ ตน ในตำราแบ่งเป็น ๕ บทใหญ่ๆ คือ
บทแรก อาร์สโกเอเทีย ศาสตร์แห่งโกเอเทีย ที่โซโลมอนทรงเรียกใช้ขึ้นมาทั้ง ๗๒ ตน จับขังในภาชนะทองเหลืองที่มีตราเวท กล่าวถึงปิศาจทั้ง ๗๒ ตนและตราเวท
บทที่สอง อาร์สทิวร์เกียโกเอเทีย เป็นการอธิบายชื่อ คุณลักษณะ ผนึกของภูตทั้ง ๓๑ ตน และให้ตำแหน่งยศหน้าที่ วิธีการป้องกันตัวจากภูเหล่านั้น วิธีใช้ภูต อัญเชิญภูต ทั้งดีและร้าย
บทที่สาม อาร์สพอลลินา อธิบายถึงดาวเคราะห์ เทวภูตประจำดาวเคราะห์ ในจักรราศี
บทที่สี่ อาร์สอัลมาเดล และบทที่ห้า อาร์สนอทอเรีย
            ปัจจุบันเป็นการยากที่จะเรียกภูตเหล่านั้นขึ้นมาใช้งาน จึงประดุจดั่งเสือกระดาษ แต่หากมีภูตตนใดมาทำร้ายก็สามารถใช้ความรู้ส่วนนี้ในการฟ้องกันตัว ในคติของผู้เขียน วงแหวนแห่งโซโลมอนก็ดูดีดูเท่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง ข้างต้นดังนี้จึงตั้งไว้เป็นอันดับที่ ๖ หากจะเทียบระดับนี้ก็เป็นคัมภีร์ไบเบิลปิศาจของนักบวชศาสนาคริสต์นอกรีตเขียนไว้ แม้จะน่ากลัวแต่ก็ใช้ทำอะไรไม่ค่อยจะได้


อันดับที่ ๕ ต๊กตาวูดู ฮูดู จากลัทธิวูดู ในแอฟริกาตะวันตก อเมริกาใต้


มารี ลาโว (Marie Laveau) ราชินีแห่งแม่มดวูดู



ตุ๊กตาวูดูหญ้าฟาง                                                      ตุ๊กตาวูดูดินเหนียว      จากภาพยนต์แจ็ค สแปร์โรว์  
                                                   ตุ๊กตาวูดูผ้า                             
       ลัทธิวูดู และฮูดู เป็นคุณไสย์แท้ๆ ที่มีจุดประสงค์ทำร้ายคนอื่นอย่างชัดเจน ทำให้อมิตรประสบเคราะห์กรรมหรือบันดาลให้อมิตรมีอันเป็นไปตามใจนึก โดยเฉพาะตุ๊กตาวูดู ที่สามารถใช้สร้างความเสียหาย ความเจ็บปวด โรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งทำให้ตายก็ทำได้ ตุ๊กตาวูดูเป็นคุณไสย์กระทำต่ออมิตร แทนตัวคนที่ต้องการปองร้ายเป็นตัวตุ๊กตา กระทำด้วยเวทมนต์คาถาและอำนาจพลังจิต อำนาจจิตนึกคิดผ่านตุ๊กตาส่งผลบันดาลให้ผู้ที่แทนด้วยตุ๊กตามีอันเป็นไปตามใจนึก ตามใจผู้กระทำ
                            ภาพการประกอบพิธีขอลลัทธิวูดูที่ปรากฏในข่าว

       นอกจากนี้ วูดู ยังมีความเชื่อเรื่องยาเสน่ห์ ใช้ทำเสน่ห์ใส่ผู้อื่นด้วยวิธีต่างๆ ปรุงยาเสน่ห์ให้คนที่หมายตาต้องใจหลงรักตน และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวคือ การปลุกวิญญาณคนตายขึ้นมารับใช้เป็นทาสใน วูดู และฮูดู ก่อให้เกิดความเชื่อเรื่องผีดิบ หรือที่รู้จักกันดีอย่างแพร่หลายในชื่อว่า ซอมบี้ เชื่อกันว่าเคยมีพ่อมดแม่มดในลัทธิวูดู ในทศวรรษที่ ๑๙๑๐ ปลุกคนตายขึ้นมาเป็นทาส ใช้ซอมบี้มากมายเป็นแรงงานทำไร่อ้อย สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนบนเกาะเฮติ และปัจจุบันยังเชื่อกันว่ามนต์ดำยังไม่หมดฤทธิ์ ยังอาจจะหลงเหลือซอมบี้ที่ปลุกไว้ในที่ไหนสักแห่งของเกาะก็เป็นได้

อันดับที่ ๔ อัสสิหฺร์(ไสยศาสตร์) ในไสยเวทอิสลาม จากชาวนอกรีตอิสลาม

     
      ชัยฏอน มาจากคำว่าซาตาน ซึ่งเป็นญินชั่ว ในญินสองชนิดของอิสลาม สามารถใช้ทำร้ายหรือกระทำแก่ผู้เป็นอมิตรได้ตามการบัลดาลของตน ในศาสนาอิสลาม มีกษัตริย์องค์หนึ่งที่นับถืออิสลามนั้นคือ ไซโลมอล ถูกขนานนามว่า สุลัยมาน ในสมัยที่ยังไม่ปฏิเสธศรัทธาในอิสลาม ซึ่งมีอธบายถึงไสยศาสตร์ไว้ดังนี้

        สุลัยมานรับเอาไสยศาสตร์มาจากมลาอิกะห์ เทวภูตฮารูตและมารูต ในขณะที่สุลัยมานยังเป็นมุสลิม ชัยฏอนได้สอนไสยศาสตร์ให้แก่ผู้คนต่างๆ ซึ่งมาจากภูตทั้งสองตอนนั้น อัลลอฮ์ทรงให้มลาอิกะห์และคนอื่นๆนำไสยศาสตร์มาเผยแพร่ เพื่อทดสอบ มิใช่เพื่อใช้งาน มลาอิกะห์นอกจากจะสอนสุลัยมานแล้วยังสอนคนอื่นๆอีกด้วย ไสยศาสตร์นั้นทำอันตรายหรือให้ผลได้หากเป็นประสงค์ของอัลลอฮ์และอนุญาตโดยอัลลอฮ์ ไสยศาสตร์เป็นอันตรายแก่ผู้เรียน และไม่มีคุณค่าใดๆ ราคาของไสยศาสตร์คือความดีที่เสียไป
          จากคำอธิบายข้างต้น มาจากคำกล่าวของนบีสุลัยมาน หรือกษัตริย์โซโลมอน (กุรอาน 2:103) ซึ่งแสดงว่าอิสลามไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของไสยศาสตร์ รวมทั้งอัสสิหฺร์(ไสยศาสตร์) อัลกะฮานะฮฺ(การทำนาย) และอัลอิรอฟะฮฺ(การดูดวง) แต่จะสัมฤทธิ์ผลด้วยการอนุมัติจากอัลลอห์และประสิทธิภาพประสิทธิผลก็ขึ้นอยู่กับความดีที่จ่ายไปเพื่อซื้อความชั่วมาแทน ยิ่งจ่ายมากก็เสียความดีมากและได้ความชั่วมาก น่ากลัวทั้งผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ
       การที่ผมเป็นชาวพุทธอาจจะไม่เข้าใจในหลักศาสนาอิสลาม แต่ประเทศไทยภาคใต้แถบคาบสมุทรมลายูมีการใช้อัสสิหฺร์(ไสยศาสตร์) อัลกะฮานะฮฺ(การทำนาย) และอัลอิรอฟะฮฺ(การดูดวง) ซึ่งกระทำก็ได้เคยระสบพบเจอมาแล้ว และชาวมุสลิมกล่าวว่าพวกที่ทำคุณไสย์ ใช้อัสสิหร์เป็นพวกนอกรีต เพราะผู้ใช้คุณไสย์ตั้งตนเป็นภาคีต่ออัลลอฮ์ โดยคุณไสย์ที่ผมได้ประสบพบเจอนี้ มีอยู่ ๒ ประเภทคือ ไสยศาสตร์ทำร้ายคน(ทำเสน่ห์ สั่งสอน และฆ่าให้ตาย) กระทำโดยข้อความภาษาอาหรับสรรเสริญญินหรือสาปแช่ง ส่วนประเภทที่สองเป็นไสยศาสตร์ติดต่อญินใช้ในการอัลกะนะฮฺและอัลอิรอฟะฮฺ ประเภทนี้ไม่มีพิษภัยมาเท่าไหร่แต่สามารถนำมาซึ่งภัยพิบัติอันใหญ่หลวงได้ ผู้ติดต่อชัยฏอนแล้วใช้ให้ประทุษร้ายอมิตร ส่วนวิธีแก้นั้นผมอ่านภาษาอาหรับไม่ออกก็เลยปล่อยให้มุสลิมเขาช่วยกันเอง 

อันดับที่ ๓ ยาสั่ง วิชาเหมาซาน จากลัทธิเต๋า ในจีน 

              ม้าทรงของเทพเจ้าจีน เมื่อเทพเจ้าเข้าร่าง ม้าทรงจะไม่มีอาการบาดเจ็บและเจ็บปวด    เมื่อถูกเหล็กแหลมทิ่งแทง ลุยไฟ และปีนบันไดมีดโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆทั้งสิ้น


       เหมาซาน คำนี้ ทุกคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์มาไม่น้อย ในภาพยนตร์ผีดิบจีนมักจะได้ยินว่านักพรตเหมาซานปราบผีดิบ บ้างใส่ชุดขาวดำ บ้างใส่ชุดสีเหลืองๆ อีกคำหนึ่งคือ เจียงซือ ก็คือผีดิบนั้นแหละ เท้าความไปถึงลัทธิเต่าของท่านปรมจารย์เล่าจื้อ ท่านได้สอนธรรม ๘๑ บท ในคัมภีร์เต๋า เต๋อ จิง หรือ เต๋า เต็ก เก็ง เป็นปรัชญาชีวิตที่เป็นแก่งแท้ของลัทธิเต๋า นักพรตเหมาซานก็ได้น้อมนำเอาไปศึกษาและผนวกเข้าเป็นอันเดียวกัน จึงมีเหล่าเทพเจ้า เทพองค์ต่างๆปรากฏขึ้น อีกทั้งยังมีการผนวกกับศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ทำให้เกิดความหลากหลายของศรัทธาความเชื่อ
       ไสยศาสตร์ในเหมาซานกับลัทธิเต๋าคงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ การปราบผีดิบ การปลุกคนตาย ใช้วิชาอาคมเป็นหลัก ยาสั่งและการทำคุณไสย์ ทำเสน่ห์ก็มีอยู่เยอะแยะ ความเชื่อที่เห็นกันอยู่หลักๆ คือ ฮู้ ฮู้นี้คือยันต์จีน เป็นกระดาษสีต่างๆ เขียนอักษรหรือรูปสัญลักษณ์ด้วยหมึกสีต่างๆ มีฤทธิ์มีเดช อภินิหารตามต้องการ ติดอยู่ตามผนังประตูอาคารบ้านเรือนหรือห้างร้าน ในพิธีกรรมต่างๆ สำนัก ศาลเจ้าก็มีฮู้ยันต์เป็นแบบฉบับ แบบแปลนเฉพาะตน จะเป็นฮู้ห้าอสุนีบาตที่ไล่ผีก็ดี ฮู้แปะหน้าศพก็ดี ฮู้ทำเสน่ห์ใส่ในอาหารให้คนที่เราหมายปองกินก็ดี ฮู้เผาไฟเอาขี้เถ้าปรุงยาแก้โรคภัยก็ดี สารพัดฮู้ให้เลือกใช้ ยังมีหุ่นฟางคุณไสย์ที่ใช้ แทนผู้ถูกกระทำ โดยจะเลือกทำคุณไสยผ่านหุ่นฟางนั้น ให้มีอันเป็นไปตามใจนึก ไสยศาสตร์จีนจึงเหมาะที่จะอยู่ในอันดับที่สาม

อันดับที่ ๒ ยาสั่ง ตู้ แปลงไปล่ จากชาวไทยภูเขา กะเหรี่ยง ม้ง อาข่า เมี่ยน ฯลฯ และไสยศาสตร์ล้านนา (จีน เวียดนาม ลาว พม่า)
                               อีแพง เชิญผีเจ้าจันทร์ ทำน้ำมันหอมจันทร์
                             ใช้ทำเสน่ห์ยาแฝด แบบล้านนา ในละคร บ่วง          
       ชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆในทางภาคเหนือ เช่น ชนเผ่ากะเหรี่ยงหรือปกากะญอ ม้ง อาข่า เมี่ยนหรือเย้า สิบสองปันนา มูเซอ ฯลฯ มีหมอผีประจำหมู่บ้าน หมอผีนั้นๆเป็นผู้กำหนดและประกอบพิธีกรรมต่างๆของหมู่บ้านเป็นที่นับหน้าถือตากัน ปัจจุบันหมอแพทย์แผนปัจจุบันที่ไปอยู่รักษาให้แก่ชาวไทยภูเขาก็อยู่ฐานันดรเดียวกันกับหมอผีประจำหมู่บ้าน เป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมาก ไม่ว่าจะถูกยาสั่งหากเป็นพิษที่หมอแผนปัจจุบันมักถอนพิษได้และลักษณะให้หายได้ กลับมาที่เรื่องไสยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าบนที่ราบสูงแล้ว ในที่ราบลงมาหน่อย รวมถึงล้านนา ไทลื้อ ไทใหญ่หรือไตรย ทางภาคเหนือมีการใช้ภาษาล้านนากันอย่างแพร่หลายในสมัยอดีตที่ปกครองด้วยอาณาจักรล้านนา มีการศึกษาและใช้ไสยศาสตร์กันทั่วไป และการกลายพันธ์ของภาษาล้านนาในบางชนเผ่า ยวนบ้าง ไทลื้อบ้าง ไตรยบ้าง เขียนไสยศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาล้านนาตามแต่ละแห่ง

        ไสยศาสตร์ของหมอผีแต่ละชนเผ่าขึ้นชื่อเรื่อง ยาสั่ง และตู้ กับทำเสน่ห์ กะเหรี่ยงนี้เหมาะเป็นตัวอย่างไสยศาสตร์เรื่องยาสั่ง ยาสั่งของแต่ละชนเผ่าจะมีสูตรลับเฉพาะตน สืบทอดมาแต่ละครอบครับ ทั้งหมอผีประจำหมู่บ้านที่จะตู้ใส่ หรือจัดยาสั่งแก่ใครก่อได้ ยังไม่รวมถึงชาวเผ่าตาดำๆธรรมดาที่มีวิชาอาคมกันอีก ยาสั่งส่วนใหญ่มาจากพิษวัตถุ พืชและสัตว์ ปรุงด้วยวิธีต่างๆ มีฤทธิ์เพื่อเอาชีวิตผู้ถูกกระทำ จะให้ความรุนแรงแตกต่างกันตามใจผู้กระทำเช่น พิกลพิการ ทรมานแสนสาหัส หรือถึงแก่ความตายในไม่กี่วินาที (หมอแผนปัจจุบันสามารถรักษาถอนพิษได้หลายชนิดแล้ว) เสกตะปูใบมืดตู้ใส่ท้อง เสกอะไรต่อมิอะไรเข้าไปในตัวอีก หาพิจารณาที่ทำเสน่ห์ก็เช่นเดียวกัน เอาแบบให้รักให้หลงจนตายเลยก็ได้ หน้าตาปลวกๆไม่ดีแค่ไหนก็มีการเลี้ยงผีกะ หรือทำเสน่ห์ให้รักให้หลงจนหัวปักหัวปลำตกเขมนตีรังกาเลยทีเดียว สุดท้ายถ้าแก้ไม่ได้ก็ตาย

       จะกล่าวถึงไสยศาสตร์ที่เรื่องชื่อลือชาก็มีนครหริภุญชัยที่ก่อตั้งโดยพระนางจามเทวี และฤๅษีทั้ง ๔ ตน โดยเฉพาะวาสุเทพฤๅษีที่ถ่ายทอดวิชาอาคมและเลี้ยงดูพระนางวีพระนางจามเทวี) จนสร้างบ้านแปลงเมืองหริภุญชัย และอนุสิสฤๅษี แห่งศรีสัชนาไลย ละโว้ที่รู้วิชาขอมอีกด้วย พระนางจามเทวีนี้เก่งกล้าสามารถในทางไสยเวท และหลวงมิลังคะผู้ประสิทธิวิชาจากวาสุเทพฤๅษีก็สามารถยิ่งธนูจากดอยสุเทพไปตกที่นครหริภุญชัยได้
       วิชาปราบชาละวัน เมืองพิจิตร นั้นก็ขึ้นชื่อ เถรขวาด ในเรื่องขุนช้างขุนแผน รวมทั้งพระมหาเถรคันฉ่อง สงฆ์ชาวมอญ อาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวร ก็แกร่งกล้าวิชาอาคม ผมจึงขอนำไสยศาสตร์นี้ที่ผมใกล้ชิดที่สุดมาเป็นอันดับที่สอง


      
อันดับที่ ๑ อถรเวท จากคัมภีร์พระเวท ศาสนาพราหมณ์ฮินดู จากอินเดีย เขมร และไทย

        กล่างถึงอันดับที่ ๑ คงสงสัยว่าทำไมผมยกตำแหน่งนี้ให้กับ อถรเวท คำตอบเพราะว่า ทุกที่ทุกศาสนาไม่มีไสยศาสตร์ปรากฏมาแบบตรงๆตัว ผนวกเป็นหนึ่งเดียวชนิดที่ว่าไสยศาสตร์คือตำราหรือคัมภีร์เล่มหนึ่งของศาสนา อถรเวท หรือ อาถรรพ์รเวท เป็นคัมภีร์หนึ่งในพระเวท ที่พราหมณ์ฮินดูสามารถศึกษาและกระทำต่ออมิตรโดยไม่ผิดหลักศาสนาแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่เคร่งครัดเหมือนคเวทที่ต้องศักดิ์สิทธิ์ทุกพยางค์ อถรเวทถึงเหมาะแก่ผู้ที่มีวรรณะต่ำสามารถเรียนรู้ได้ การผนวกไสยศาสตร์เข้ากับศาสนาตนทำให้มีความหลากหลายของวิชาไสยศาสตร์มาขึ้น จากคัมภีร์พระเวท แยกย่อยเป็นอุปรเวท อถรเวทเมื่อถูกเผยแพร่ไปในต่างสถานที่ ต่างเชื้อชาติ ต่างชนชาติ มีการรวมเอาวัฒนธรรมและอิทธิพลของที่นั้นๆเข้าไปร่วม ไสยเวทของขอม-ละโว้ ไสยเวทของเขมร ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากอถรเวท ไม่เพียงเท่านั้น ศาสนาพุทธที่ไทยได้รับเข้ามาได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์ฮินดู และอถรเวทยังเป็นรากฐานของไสยศาสตร์ในล้านนาที่ถูกคิดค้นโดยพราหมณ์หรือพวกห่มผ้าขาว
                     อถรเวท เป็นการสาธยายมนตราเผื่อเรียกผีสาง เชิญเทวดา ใช้ทำลาย ใช้ทำร้าย ใช้ให้เป็นอาถรรพ์ ใช้สาปแช่ง ประทุษร้าย เกิดอันตรายแก่ผู้ถูกกระทำหรืออมิตร เป็นเหตุให้ประสบเคราะห์กรรม และเป็นบ่อเกิดแห่งความฉิบหายวอดวาย
       ในทางตรงกันข้าม อถรเวท ปรากฏในคัมภีร์อายุรเวท ที่เป็นอุปรเวท เป็นมนตราที่ใช้แก้ไข ป้องกัน รักษาให้สิ่งที่เป็นอาถรรพ์ รักษาโรคภัย เช่น พระเวทย์แก้โรคต่างๆ พระเวทประสาน พระเวทสะเดาะ พระเวทป้องกันตัว พระเวทย์แก้ภูตผีปิศาจ เป็นต้น พระเวทที่เป็นเมตามหานิยม ทำเสน่ห์ มนตราให้เป็นที่รัก อถรเวทปรากฏในคัมภีร์ธนูรเวท คาถาอาคมที่ใช้ในการยิงธนู และอาวุธสงคราม วิชาการสู้ศึก ดังนั้นจึงเหมาะสมที่จะให้อถรเวทเป็นอันดับที่หนึ่ง


ตัวอย่าง อถรเวท ไสยเวทเขมร ขอม และไทย จากที่ต่างๆ



  ไอ้งั่งตาแดงใช้ทางมหาเสน่ห์    น้ำมันพรายใช้ในทางมหานิยม และเสน่ห์ยาแฝด
ควายธนู                                   วัวธนู

                                 ควายธนู หรือ วัวธนู ทำจากตอกไม้ไผ่    
                 ใช้ในการป้องกันตัว ต่อสู้กับผู้อื่น และไล่ภูตผีวิญญาณ



                     จำลองพิธีเชิญเทพสามตาเขมร จากภาพยนตร์เรื่อง ลองของ 2


                                                พิธีกดดวงชะตาจริง


พิธีสาดเลือดสาปแช่งจริง โองการปลุกภูตผีปิศาจ

    หนึ่ง ใน พิธีข่มนามจริง โดยตามตำราพิชัยสงคราม พิธีข่มนาม "......วิธีวิชาไสยมนต์ เลขยันต์ และอาศัยได้ข่มนาม และพระราชพิธีข่มนามที่พยุหะฉลาดในการเรียบเรียงถ้อยคำ และอรรถมคธภาคออกเป็นสยามภาคได้...." ผมขอแปลง่ายๆว่า ทำด้วยการฟาดฟันตัดไม้ข่มนาม ทำต้วยการพูดอรรถมคธภาคข่มนาม ทำด้วยการพูดเป็นสยามภาคข่มนาม ทำด้วยการกระทบตบตีข่มนาม ทำด้วยการกระทืบถีบข้ามข่มนาม ทำด้วยทิ่มแทงฉีกรูปข่มนาม ทำด้วยตัดเผ่ารูปหุ่นข่มนาม ล้วนกระทำได้ทุกสิ่ง  

       


10 ความคิดเห็น:

  1. ขอข้อมูลไปเขียนนิยายนะคะ น่าสนใจมาก

    ตอบลบ
  2. เป็นบล็อกที่เป็นประโยชน์มากครับ ผมกำลังสนใจในเรื่องของเวทมนต์ คาถาอยู่ อยากให้จขกท.เขียนเรื่องไสยขาวและสายพุทธคุณเพิ่มด้วยครับ ว่ามีกี่ประเภทและมาจากที่ใด ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ว่างๆผมจะเขียนบทความไสยเวทสายขาวและสายพุทธคุุณตามที่คุณแนะนำมานะครับ

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ23 สิงหาคม 2558 เวลา 10:57

    ขออนุญาติ ขอข้อมูลดีดี นะคร่า จะใส่เคดิตรที่มาให้ คร่า

    ตอบลบ
  4. เพิ่งเจอและเข้ามาอ่านวันนี้เองครับ

    ตอบลบ
  5. ขออนุญาติ นำข้อมูลไปเขียนนิยาย ครับ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ อยากลองบ้างจัง

    ตอบลบ
  7. ละเอียดมากเลย ขออนุญาตนำข้อมูลไปเขียนนิยายนะคะ

    ตอบลบ